วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Mère Teresa


Mère Teresa, de son nom patronymique Anjezë Gonxhe Bojaxhiu ([aɲɛzə gonˈʤe bɔˈjaʤi:u]), née en 1910 à Uskub, Empire ottoman (actuellement Skopje, Macédoine), et morte le 5 septembre 1997 à Calcutta, Inde, est une religieuse catholique albanaise, de nationalité indienne, surtout connue pour son action personnelle caritative et la fondation d'une congrégation de religieuses, les Missionnaires de la Charité qui l'accompagnent et suivent son exemple.

En 1949 elle s'engage auprès des plus pauvres, et fonde sa congrégation en 1950 ; son œuvre auprès des plus démunis commence par l'éducation des enfants des rues et l'ouverture du mouroir de Kalighat (Nirmal Hriday) à Calcutta. Pendant plus de 40 ans, elle consacre sa vie aux pauvres, aux malades, aux laissés pour compte et aux mourants, d'abord en Inde puis dans d'autres pays, et elle guide le développement des Missionnaires de la Charité. Au moment de sa mort, ceux-ci s'occupent de 610 missions, dans 123 pays, incluant des soupes populaires, des centres d'aide familiale, des orphelinats, des écoles, des hospices et des maisons d'accueil pour les personnes atteintes de maladies comme la lèpre, le sida ou la tuberculose.

Perçue comme un modèle de bonté et d'altruisme, elle est régulièrement évoquée dans la presse indienne et occidentale pendant la deuxième moitié du XXe siècle.

Mère Teresa est béatifiée le 19 octobre 2003, à Rome par le pape Jean-Paul II.

ใช้คอมฯ นานเสี่ยง โรคซีวีเอส

ปัจจุบันไม่ว่าจะทำงานอะไร อาชีพอะไร ส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แทบทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป้นเครื่องมือที่เอื้ออำนวยความสะดวกได้หลากหลาย จนบางคนแทบจะขาดไม่ได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า!! บนความสะดวกสบายนี้สามารถ “ทำลาย” สุขภาพคุณโดยไม่รู้ตัว หากใช้มันอย่างผิดวิธีหรือใช้นานจนเกินไป...

ไม่ต้องสงสัย?? ...เพราะหลายคนอาจกำลังมีอาการ ปวดที่กระดูกข้อมือ กล้ามเนื้อ ตามต้นคอ หัวไหล่ สะบักรวมถึงหลัง หรือมักมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว หากใช้สายตาจ้องหน้าจอนาน ๆ และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัว ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณกำลังเป็น “โรคซีวีเอส” หรือ “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” โดยบริเวณที่เกิดอาการอาจคลำพบกล้ามเนื้อแข็งตึงและอาจมีจุดกดเจ็บ ทำให้เมื่อเคลื่อนไหวแล้วอาจพบอาการเจ็บปวดมากขึ้น แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนด้วย

ซึ่งสาเหตุของโรคนี้มาจาก การติดตั้ง จัดวาง คีย์บอร์ด จอมอนิเตอร์ เม้าส์ และเก้าอี้ ตลอดจนการปรับระดับแสงที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เราเกิดอาการอย่างที่กล่าวมานี้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับสภาพแวดล้อมในโต๊ะทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับร่างกายของเรา ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหรือความเมื่อยล้าจากการทำงานลงได้ สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจาก...

คีย์บอร์ด หลายคนคงไม่คิดว่า แค่คีย์บอร์ดจะทำให้เจ็บป่วยอะไรได้มากมาย แต่หากคุณใช้ไม่ถูกวิธีล่ะก็...จะส่งผลให้คุณมีอาการปวดไหล่ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ ระยะยาว อาจจะทำให้คุณเกิดปัญหาปวดข้อมือเรื้อรังได้ บางคนอาจเป็นถึงขั้นนิ้วล๊อก ต้องทำการผ่าตัดกันเลยทีเดียว บางคนอาจจะเห็นว่ามันจะไม่สำคัญ หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บป่วย แต่ก็ควรเรียนรู้เกี่ยวกับ วิธีการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า

การวางคีย์บอร์ดที่ถูกต้องนั้น แขนต้องอยู่ในมุมตั้งฉาก ไม่สูงเกินไป หรือไม่ต่ำจนเกินไป ไหล่ไม่ห่อ ถ้าคุณเป็นคนไหล่กว้างขอแนะนำให้คุณใช้คีย์บอร์ดแบบแยก เพราะมันจะให้คุณทำงานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ปล่อยให้ข้อมืออยู่เป็นธรรมชาติอย่างอขึ้นหรืองอลง ส่วนลำตัวให้อยู่บริเวณส่วนกลางของคีย์บอร์ดอย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวามากเกินไป..

จอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันอาจทำให้คุณปวดข้อ ปวดไหล่ หรือเกิดอาการแสบตาได้ ซึ่งการวางจอในลักษณะที่ถูกต้องนั้นควรเริ่มจากตั้งจอให้อยู่ตรงกลาง ด้านบนของจอมอนิเตอร์อยู่ในระดับสายตาของคุณ ปรับหน้าจอให้แหงนขึ้นเล็กน้อย เพราะจะทำให้คุณไม่เมื่อยคอในการเอียงคอดูจอ อย่าให้มีแสงสะท้อนบนหน้าจอ พยายามนั่งห่างจากจอประมาณ 1 ช่วงแขน หากคุณมีจอใหญ่กว่า 20 นิ้ว ก็ควรถอยห่างออกไปอีก ก็จะเป็นการดีและเป็นการถนอมสายตาด้วย และที่สำคัญควรพักเบรกสายตาเป็นพักๆ หากต้องอยู่กับคอมนานๆ

เม้าส์ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีอาการเจ็บป่วย เพราะการทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือมีการเกร็งอวัยวะใดซ้ำๆ กัน ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่โพรงกระดูกข้อมือได้ ขณะที่เคลื่อนไหวข้อมือ ขนาดของโพรงกระดูกข้อมือก็มีการเปลี่ยนแปลง สร้างความกดดันให้กับเส้นประสาทตรงกลาง ถ้าคุณทำงานตลอดวัน โดยที่ข้อมืองอและกดทับบนโต๊ะ ก็สามารถทำให้เส้นเอ็น หรือเส้นประสาทที่ข้อมือเกิดอาการปวดได้ ในระยะยาวอาจทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งนำไปสู่การปวด ชา และปวดรุนแรงที่นิ้วมือได้ ซึ่งวิธีที่จะทำให้ลดอัตราการเกิดอาการเหล่านั้นได้ ไม่ต่างจากคีย์บอร์ดมากนัก ที่สำคัญควรหาวัสดุนิ่มๆ มารองเพื่อลดแรงเสียดสีและกดทับเส้นประสาท

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!!! ยังมี เก้าอี้ ที่คุณใช้นั่งทำงานเป็นกันวันๆ อีก ที่มีส่วนในการทำลายสุขภาพของคุณ ซึ่งเก้าอี้ที่ดีนั้นเวลาคุณนั่งจะรู้สึกสบาย พนักพิงควรราบไปกับหลัง ปรับระดับความสูงได้ ควรนั่งพิงพนักให้เต็ม และเก้าอี้ควรมีขนาดพอดีตัวไม่เล็กเกินไป เบาะก็ควรจะขนานกับพื้น นั่งให้เป็นมุม 90 องศา หัวเข่าตั้งฉากกับพื้น ฝ่าเท้าแนบขนานกับพื้น นั่งให้ตัวตรง และที่สำคัญควรเดินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอาการเมื่อยล้า

เห็นแล้วใช่มั้ยว่า...โรคภัย...มีอยู่รอบตัวเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว!! คุณคงจะไม่รีรอที่จะจัดการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบนโต๊ะทำงานของคุณเสียใหม่โดยเร็ว เพื่อจะได้ห่างไกลบ่อนทำลายสุขภาพ...

แค่ อ่าน ก็สร้างชาติได้

หนังสือช่วยความคิด-จิตใจ ส่งผลระดับความรู้พลเมืองสูงขึ้น ประเทศก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

การอ่านหนังสือทำให้คนหลายๆคนเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งในด้านความคิดและพฤติกรรม... “หนังสือ” จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญในการสร้างพัฒนาการที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในทางด้านสติปัญญา แต่ยังรวมไปถึงการช่วยพัฒนาความคิด และยกระดับจิตใจได้อีกด้วย
แต่ในปัจจุบันกลับพบว่า คนไทยอ่านหนังสือเพียง 5 เล่มต่อคนต่อปีเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามนำโด่งไปที่ 60 เล่มต่อคนต่อปี...ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคนไทยรักการอ่านหนังสือไม่แพ้ชาติใดในโลก...นายจรัญ มาลัยกุล หัวหน้าโครงการอ่านสร้างชาติ ได้ออกมาบอกว่า จากข้อมูลที่ระบุว่า คนไทยอ่านหนังสือน้อยนั้น...ความจริงแล้วคนไทยไม่ใช่ไม่อยากอ่านหนังสือ แต่ไม่มีหนังสือให้อ่าน เพราะหนังสือมีราคาแพง และสถานที่จำหน่ายก็มีเฉพาะในเขตเมือง ทำให้หนอนหนังสือไม่สามารถ “เข้าถึง” หนังสือได้ต่างหาก

เมื่อไม่สามารถเข้าถึงหนังสือได้ ทำให้ต้องหันไปหาสื่ออื่นที่เข้าถึงมากกว่า ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า คนไทยอ่านหนังสือลดลง จากร้อยละ 69.1 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 66.3 ในปี 2551 และจากจำนวนคนที่ไม่อ่านหนังสืออีกร้อยละ 33.7 นั้นใช้เวลาเพื่อดูโทรทัศน์ถึงร้อยละ 54.3 เพราะสื่อโทรทัศน์นั้น ถือเป็นว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงทุกคนได้มากกว่าหนังสือ ทำให้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาดูโทรทัศน์มากขึ้น ความรู้ ความคิด และจินตนาการจึงลดน้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้

หากมีการส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ ก็จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เกิดการปรับวิธีคิด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดการเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ระดับจิตใจและสติปัญญาถูกพัฒนาการอย่างเหมาะสม และเมื่อระดับความรู้ของพลเมืองเปลี่ยนไป ประเทศก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นด้วย




การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กๆ นั้น ต้องอาศัยกำลังจากพ่อแม่เป็นสำคัญ เพียงพ่อแม่ใช้เวลาแค่วันละ 20 นาที ค้นหาหนังสือที่เหมาะกับวัยและความสนใจ บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น โดยการอ่านออกเสียงให้ลูกฟังตัวต่อตัว ก็จะทำให้เด็กกล้าที่จะตอบคำถาม รู้สึกผ่อนคลาย อุ่นใจและกล้าที่จะเปิดเผย เป็นการสอนอย่างไม่เป็นทางการที่สมบูรณ์แบบ ให้เด็กได้คุ้นเคยกับหนังสือ ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านได้อย่างแยบยล

และการที่จะเพิ่มจำนวนหนอนหนังสือ จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมเรื่องราคา ดังจะเห็นได้จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะดึงดูดให้คนไทยหันมานิยมอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นได้ เพราะนอกจากจะมีหนังสือนานาชนิดให้ได้เลือกอ่านแล้ว ราคาหนังสือก็ยังถูกกว่าปกติทั่วไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การนำหนังสือมาไว้ที่เดียว ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอ่านหนังสือของคนไทยได้ แต่ด้วยกลยุทธ์ “หนังสือมือสอง” ในโครงการอ่านสร้างชาติที่เชิญชวนให้ทุกคนร่วมบริจาคหนังสือที่ไม่ใช้แล้วอาจช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เพียงแค่สละหนังสือคนละเล่ม แล้วส่งมาที่ มูลนิธิกระจกเงา 8/12 ซอยวิภาวดี44 ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือทางเว็บไซต์ www.read4thai.org

เชื่อได้เลยว่า...หากคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการอ่านได้เยอะและง่ายขึ้นก็ช่วยสร้างให้ชาติไทยของเราเกิดการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน...^^

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โกจิเบอร์รี่


สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่



เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทําไมดาวจรัสฟ้าแห่งวงการมายาฮอลลีวู้ดหลายๆ คนถึงไม่ยอม แก่ลงเลย ไม่ว่าจะเจอสักกี่ปีก็เหมือนหยุดอายุผิวให้คงอ่อนเยาว์ กระจ่างใสได้ตลอดเวลา เคล็ดลับของพวกเธออยู่ที่ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่าง “ผลโกจิเบอร์รี่” ที่เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของ “สารแอนติออกซิแดนท์”

“ผลโกจิเบอร์รี่” เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงไม่ใช่เรื่อง แปลกหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อของโกจิเบอร์รี่มาก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลไม้ดังกล่าวจะเป็นยาโบราณที่สําคัญ ที่ใช้ในประเทศเอเชียมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม แต่ความลับด้านประโยชน์ทางโภชนาการของผลดังกล่าวยังคงเป็นความลับที่ชาวโลกส่วนมากยังไม่ทราบ

ย้อนไป 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล นักสมุน-ไพรชาวหิมาลายันได้ค้นพบความลับที่มีค่ามากที่สุดคือผลโกจิเบอร์รี่ท้องถิ่น ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบต และอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีสารแอนติ-ออกซิแดนท์เป็นลําดับที่ 2 มีเพียง 5,700 ORAC เท่านั้น) โดยสารออกซิแดนท์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อแก่ตัวลงเป็นสาเหตุสําคัญของความแก่ก่อนวัยอันควร

“ผลโกจิเบอร์รี่” แต่ละลูกประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท มีสารแอนติออกซิแดนท์คาโรทินอยด์อีกจํานวนมาก รวมทั้งวิตามินซีที่มีระดับสูงกว่าผลส้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่ ซึ่งเอนไซด์ของผู้หญิงไทยที่พบว่าผิวอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาติดอันดับต้นๆ และร้อยละ 85 ของผู้หญิงเชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอและ ป้องกันได้

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

L'histoire de la pomme.

Le pommier est l’arbre fruitier le plus cultivé dans le monde. Paradoxalement, son fruit chargé de symbolique dès l’origine, est le fruit défendu.......

D’innombrables variétés nous offrent généreusement des pommes toute l’année. La pomme est connue depuis la nuit des temps et elle a beaucoup fait parler d’elle.

Nos pommes actuelles sont issues de pommiers sauvages originaires d’Asie Mineure dans le Caucase. On a même observé le pommier dans l’Himalaya jusqu’à 3000 mètres d’altitude.

Peu à peu et plus récemment encore, les pommiers ont subi de nombreuses sélections et hybridations. Les croisements ont donné les différentes formes de pommes que nous connaissons.

De nos jours il existe prés de 6000 variétés de pommes parfaitement identifiées.

Le Pommier, son nom scientifique en latin : Malus

La Pomme, le fruit malum, désigne aussi le coing, la grenade, la pêche, l’orange, le citron.

Effectivement, nos anciens parlaient de pomme d’orange (loi poumo d’oranzé, lo poumo dé poumiè....) Le pommier, arbre fort ancien, s’adapte parfaitement au Limousin, une de ses régions préférées. En effet, climat et sol font que ses fruits sont des plus savoureux et excellents dans notre région (pommes de table ou pommes à cidre).

C’est vers la fin du tertiaire, début du quaternaire, il y a environ 1,6 millions d’années, qu’apparut le pommier sauvage. Des empreintes de feuilles de pommier sauvage ont été découvertes dans des roches quaternaires, non loin de Marseille.

Il y a un million d’années environ, les premiers hominidiens, primates appartenant à la même famille que l’homme, collectaient les végétaux sauvages.

Le pommier sauvage poussant dans les haies ou les broussailles donne des fruits plus petits et plus colorés que ceux des variétés cultivées. Sa présence assure une bonne pollinisation des

Des restes de pommes coupées ont été découverts dans des habitats préhistoriques, dits sur pilotis, les palafittes du néolithique et de l’âge de bronze, environ 4500 à 700 ans avant J.C.

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 อันดับ สนามบินที่สวยที่สุดในโลก

“สวยแต่รูป จูบไม่หอม” คงจะใช้เปรียบเปรยกับเจ้าลานจอดนกยักษ์ที่เราจะเอามานำเสนอไม่ได้แน่ๆ “สุวรรณภูมิ” บ้านเราก็ว่าใหญ่แล้ว ยังต้องชิดซ้ายหลบแทบไม่ทัน เพราะของเพื่อนบ้านเค้าคุยว่า “หน้าตายิ่งไฮโซเท่าไหร่ นวัตกรรมก็ยิ่งทันสมัยขึ้นเท่านั้น”


เริ่มกันเบาๆ ที่ อันดับ 10. Terminal 4, Barajas Airport, Madrid



อันดับ 9. TWA Terminal, John F. Kennedy Airport, New York City




อันดับ 8. Carrasco International Airport, Montevideo, Uruguay





อันดับ 7. Sondika Airport, Bilbao, Spain





อันดับ 6. Denver International Airport






อันดับ 5. Incheon International Airport, South Korea






อันดับ 4. Marrakech Menara Airport, Morocco






อันดับ 3. Chek Lap Kok Airport, Hong Kong






อันดับ 2. Kansai International Airport, Osaka, Japan






อันดับ 1. Terminal 3, Beijing International Airport





ตามแกะรอยเจ้าของ “งูกรีนแมมบ้า”

พบเบาะแสเจ้าของงูกรีนแมมบ้าแล้ว องค์การสวนสัตว์เตรียมเชิญตัวให้ข้อมูล พบในเฟซบุ๊ก เป็นบุคคลคลั่งงูและอาสาสมัครจับสัตว์เลื้อยคลาน

หลังจากมีกระแสกระแสข่าวประชาชนตื่นกลัวภัยจากงูพิษกรีนแมมบ้าจากแอฟริกาหลุดออกมาในย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี จำนวน 15 ตัว โดยมีที่มาจากการที่มีเจ้าของงูรายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความในเครือข่ายออนไลน์กับคนขายงูว่า งูของเขาหลุด

จากนั้นมีคนขายงูเข้ามาโพสต์ต่อกับคนมีความรู้ในเรื่องการจับงู ใช้ชื่อในเฟซบุ๊คว่า snakehunter snakelove ได้เข้ามาโพสต์ต่อในเฟซบุ๊กของกองทุนช่วยชีวิตสัตว์ป่าจากภัยพิบัติ 1362 ระบุว่า “มีเรื่องสำคัญที่สุดมารายงานครับเซียนงูหลายท่านจากวงการ Siamreptile แจ้งกันมาถึงผมว่ามีเหตุการณ์ Green mamba (Dendroaspis angusticeps) หลุดจากสถานเลี้ยงทั้งสิ้น 15 ตัว บริเวณข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา (ห้าแยกปากเกร็ด) ลงไปหมู่บ้านทางด้านซ้ายมือ” ดังที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้วนั้น

กระทั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข เตรียมนำเข้าเซรุ่มรักษาพิษงูชนิดนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีมีผู้ถูกกัด อย่างไรก็ดี มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบผู้ที่ใช้ชื่อ snakehunter snakelove ที่ได้เข้ามาโพสต์ข้อความ พบว่าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

นอกจากนี้ ยังพบว่า ภาพที่ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คของตัวเองนั้น ส่วนใหญ่เป็นภาพของสัตว์เลื้อยคลาน และภารกิจการจับงูชนิดต่างๆ โดยมีภาพของงูสีเขียว ที่อาจเป็นงูพิษกรีนแมมบ้ารวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ทางองค์การสวนสัตว์เตรียมประสานนักศึกษาคนดังกล่าวเข้าให้ข้อมูลต่อไป.

"ลิลลี่แพดซิตี้"

เมืองลอยน้ำแห่งโลกอนาคต

เมื่อถึงวันที่ธรรมชาติเอาคืน มนุษย์ก็พร้อมตื่นตัวรับมือกับชะตากรรมที่อาจต้องเจอ หุหุ จะรับทันมั้ย นับวันภัยพิบัติยิ่งถาโถม เรารู้ทันบ้าง คาดเดาไม่ได้บ้าง ด้วยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การสร้างเขื่อนกั้นนั้นก็ต้องทำให้แข็งแรงแน่นหนาขึ้น แต่ "วินเซนต์ คัลลีบัต"สถาปนิกสมองใสชาวเบลเยียมกล่าวว่า เราจำเป็นต้องสร้างโครงการที่แก้ปัญหาได้ระยะยาวมากกว่านั้น

"เมืองลอยน้ำ"หรือ"ลิลลี่แพดซิตี้" โครงการแห่งโลกอนาคตจึงผุดขึ้น แนวคิดของรูปทรงมาจาก "บัววิกตอเรีย" อืมมม มองภาพแล้วก็เหมือนบัวลอยน้ำจริงๆ วัตถุประสงค์หลักก็แน่นอน "หนีน้ำท่วม" โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ของโลกที่อยู่ในพื้นที่เสียงต่อระดับน้ำทะเลมากที่สุดคือ นิวยอร์ก โตเกียว และลอนดอน โอ้ว ประเทศสุดฮอตยอดนิยมแห่งการไปเยือนทั้งนั้น





ความพิเศษของเจ้า "บัวยักษ์" อยู่ที่การจุประชากรได้ถึง 50,000 คน ผลิตพลังงานใช้ได้เอง มีทะเลสาบอยู่ตรงกลางเพื่อเก็บน้ำฝนสะอาด มีภาพเทือกเขาปลอมๆ ไว้ให้ประชาชนดูแก้เบื่อตาจากวิวทะเล ไทเท เนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในการสร้างเมืองยังดูดคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศด้วย สำหรับพลังงานที่แต่ละเมืองนำมาใช้นั้น เป็นพลังงานสีเขียวที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ เช่น พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานจากคลื่น พลังงานลม พลังงานเธอร์มัล พลังงานไฮดรอลิก การสร้างพลังงานนั้นมีจำนวนมากกว่าพลังงานที่แต่ละเมืองใช้ พลังงานจึงเหลือเฟือ และยังเป็นเมืองที่ไม่แพร่ก๊าซเรือนกระจก ส่วนขยะจะถูกนำมารีไซเคิล และที่สำคัญ "ไม่มีถนน ไม่มีรถยนต์" ประมาณว่าติดป้าย "มลพิษห้ามเข้า"กันเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรุ๊ปเลือด กับ ไอศกรีม

ใครจะรู้หรือไม่ว่า กรุ๊ปเลือด กับ ไอศกรีม มีความสัมพันธ์กันอย่างไร มาดูกันค่ะ ว่า กรุ๊ปเลือด ของคุณเหมาะกับ รสชาติ แบบไหนกัน

กรุ๊ปเลือด เอ
สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ จะมีเลือดค่อนข้างเหนียวข้น และกระเพาะอาหารของคนกลุ่มนี้จะมีกรดต่ำว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ ดังนั้น รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอมากที่สุด ได้แก่ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ เช่น สตรอเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ บลูเบอรี่ เรดเบอรี่ ช็อกโกแลต ลูกพลัม ลูกพรุน มะเดื่อ กระท้อน สับปะรด เป็นต้น แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมรสมะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม แคนตาลูป มะพร้าว วนิลา เพราะจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะ และเป็นตัวการขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน

กรุ๊ปเลือด บี
เลือดกรุ๊ปนี้โชคดีกว่าใคร เพราะเป็นกลุ่มเลือดที่มีความสมดุล ไม่ข้นหรือเหลวจนเกินไป นมจึงไม่มีผลต่อร่างกายของคนเลือดกรุ๊ปนี้ รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปบีมากที่สุด ได้แก่ ส้ม กล้วย แคนเบอรี่ องุ่น ทุเรียน สับปะรด กระท้อน ช็อกโกแลต วนิลา สตรอเบอรี่ ชาเขียว และเป๊ปเปอร์มินต์ เพราะมีไฟเบอร์และเอนไซม์สูง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมรสมะพร้าว มะเฟือง ทับทิม ข้าวโพด และกะทิ เพราะเป็นตัวการที่ทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่ายกว่าอาหารอย่างอื่น

กรุ๊ปเลือด โอ
คนเลือดกรุ๊ปโอส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบดูดซึมในร่างกาย จึงควรงดไอศกรีมที่ทำจากนมวัวทุกประเภทแล้วหันมารับประทานไอศกรีมที่ทำจากผล ไม้หรือนมถั่วเหลืองแทนจะดีที่สุด รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปโอมากที่สุดคือ ได้แก่ ลูกพรุน ลูกพลัม มะเดื่อ แบล็กเชอรี่ ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ เป๊ปเปอร์มินต์ สับปะรด แต่ที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดคือ ไอศกรีมรสกาแฟ ส้ม วนิลา เกรปฟรุต สตรอเบอรี่ มะพร้าว แคนตาลูป เพราะหากทานเข้าไปจะไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร

กรุ๊ปเลือด เอบี
เลือดกรุ๊ปเอบีเป็นพวกลูกผสม ลักษณะอาหารการกินจึงคล้ายกับทั้งคนเลือดกรุ๊ปเอและบี แต่สามารถรับประทานนมได้ เพราะคนในกรุ๊ปนี้จะมีระบบการย่อยที่ซับซ้อนกว่า รสชาติไอศกรีมที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอบีมากที่สุดคือ องุ่น กีวี เชอรี่ แคนเบอรี่มะเดื่อ สับปะรด ทุเรียน กระท้อน ชาเขียว ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ วนิลา แต่ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไอศกรีมที่ทำจากผลไม้เมืองร้อนทั้งหลาย อาทิ มะม่วง มะพร้าว กล้วย ฝรั่ง เพราะจะย่อยยาก สำหรับรสส้มนั้นจะทำให้กระเพาะระคายเคือง แต่น่าแปลกใจที่ไอศกรีมรสมะนาวกลับช่วยย่อยและล้างระบบลำไส้ได้ดีเลยทีเดียว


เกล็ดความรู้ เรื่อง ไอศกรีม
ไอศกรีม (อังกฤษ: ice cream) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า ไอติม เป็นของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม นำไปผ่านการฆ่าเชื้อ แล้วนั้นนำไปปั่นในที่เย็นจัด (freezing) เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ โดยอาศัยเครื่องปั่นไอศกรีม (freezer) ไอศกรีมตักโดยทั่วไปจะต้องผ่านขั้นตอนการแช่เยือกแข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน

ไอศกรีมเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เข้าใจว่าคงเริ่มขึ้นหลังจากที่ผลิตน้ำแข็งขึ้นใช้เองในปลายสมัยรัชกาลที่ 5ไอศกรีมชนิดแรกที่คนไทยคุ้นเคยคือไอศกรีมหวานเย็นทำจากน้ำหวานหรือน้ำผลไม้เอาไปปั่นเย็นจนแข็ง ต่อมา บริษัทป๊อบ ผู้ผลิตไอศกรีมรายแรกในประเทศไทยได้ผลิตไอศกรีมตราเป็ด และเริ่มใช้สูตรใส่นม

คนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูกๆเรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวหนียว หรือ ลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง

Pomme


La pomme est le fruit du pommier, arbre fruitier largement cultivé. L’arboriculture fruitière est une branche de l’arboriculture spécialisée dans la culture des arbres fruitiers afin d'en récolter les fruits ou les faux-fruits comme la pomme du pommier domestique. La description des pommes constitue une partie de la pomologie, la pomologie englobant tous les fruits à pépins. La pomme est comestible et a un goût sucré ou acidulé selon les variétés.

Généralement, on distingue trois types de pommes alimentaires : les pommes à cidre, les pommes de table ou pommes à couteau et les pommes à cuire qui appartiennent à un des deux premiers types mais supportent bien la cuisson. Ces trois types sont tous de l'espèce Malus pumila qui compte plus de 20 000 variétés à travers le monde.

Plusieurs boissons sont élaborées à base de pommes, en particulier le jus de pomme et le cidre produit à partir de la fermentation de ce jus.




Étymologie
Le mot « pomme » vient du latin pomum qui désigne le mot commun « fruit » - Pomona est la déesse des fruits. En latin, la pomme est appelée malum (qui a donné mela en italien ou mar en roumain). Le mot « pomme » a remplacé malum car la pomme demeure le fruit, le pomum, par excellence. L'usage du mot « pomme » pour désigner un fruit a d'ailleurs perduré longtemps, comme en témoignent les noms de pomme de terre, de pomme de jacque, de pomme d'Orange ou encore de pomme de pin ou pomme cannelle.

Le genre féminin du mot français vient d'une confusion entre la terminaison en -a du nominatif pluriel de ce mot neutre (poma) et la terminaison courante des mots féminins de la première déclinaison au nominatif singulier.

Dans certains pays d'Afrique francophone, le mot « pomme » désigne la pomme de terre, la pomme est quant à elle désignée sous le terme de « pomme-fruit » ou « pomme de France ».

เกร็ดความรู้ ประโยชน์ของหัวหอม



*หัวหอมสามารถช่วยแก้รอยไหม้ของเสื้อผ้าซึ่งเกิดจากการรีดผ้า ใช้หัวหอมผ่าซีกนำไปถูตรงรอยไหม้ของเสื้อผ้า ใช้น้ำเช็ดอีกครั้ง รอยไหม้ก็จะหายไป หัวหอมมีสารละลายสามารถกัดรอยไหม้ที่อยู่บนผ้าให้จางหายไปได้ค่ะ ทั้งนี้ยังไม่ทำให้ผ้าเปื่อยขาดง่ายด้วย
*หัวหอมสามารถช่วยแก้อาการแฮงค์ นำหอมแดงพอประมาณมาทุบให้แตก แล้วนำไปเคี่ยวใส่น้ำจนเดือด ให้ดื่มตอนยังร้อนๆอยู่ รับรองว่าหายแฮงค์เป็นปลิดทิ้งเลยเชียวล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อาหารเจ กับ มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร

ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้

อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิดยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจ จะกินกันในระหว่าง เทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ส่วน อาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองกลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

รองเท้าเปียกฝน และ เหม็นอับจนขึ้นรา

การดูแลรักษารองเท้า ในช่วงฤดูฝน ถ้ารองเท้าของคุณ เปียกน้ำและ เหม็นอับจนขึ้นรา เพราะเปียกฝน แล้วละก้อ ลองนำวิธีดูแลรักษารองเท้าที่เรานำมาฝากไปใช้ ก็ไม่ว่ากันนะคะ

*ควรใช้น้ำที่สะอาดล้างทำความสะอาดภายนอก แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด แล้วนำไปผึ่งลม
*ห้ามใช้สบู่หรือผงซักฟอก ห้ามตากแดด

*ควรวางรองเท้าให้เอียง 45 องศา กับพื้น โดยให้ส้นรองเท้าเสมอพื้น หมั่นเทน้ำออก จนกว่ารองเท้าจะแห้งสนิท แล้วจึงนำไปลงครีมขัดเงาและตากแดดอ่อนๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง

*ชิ้นส่วนรองพื้นที่อยู่ด้านใน ถ้าเป็นแบบถอดออกได้ ให้นำไปล้างและทำให้แห้งโดยวิธีเดียวกัน
*รองเท้าเปียกน้ำ ไม่ควรนำมาใช้ จนกว่าจะแห้งสนิท เพราะจะทำให้หนังยืดและเสียรูปทรง

หลุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตอนเด็ก ๆ ใครหลายคนคงเคยขุดหลุมเล่นกันมาแล้ว หรือแม้แต่ต้องเคยมีความทรงจำเกี่ยวกับการตกหลุม (ที่ไม่ใช่หลุมรัก)

วันนี้ขอเป็นพายข่าวพาไปดูหลุมที่ได้ชื่อว่าเป็นหลุมที่ใหญ่ที่สุดในโลกรูปร่างหน้าตาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน

ไปชมกันเลย
หลุมขนาดมหึมานี้คือเหมืองเพชรมีร์นี่ ตั้งอยู่ในเขตไซบีเรีย ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 กิโลเมตร ลึก 525 เมตร มันใหญ่และลึกเสียจนหลายคนคิดว่ามันจะลงไปถึงนรก นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างเดินทางมาเพื่อสัมผัสประสบการณ์สุดขนลุกจากการจ้องมองลงไปยังหลุมลึกสุดบีบหัวใจ
หลุมเหมืองมีร์นี่แห่งนี้ ลึกเสียจนความกดอากาศมีความผิดปกติมาก การขับเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ผ่านปากหลุมนี้โดนห้ามอย่างจริงจัง เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์เครื่องบินโดนแรงกดอากาศที่วิปริตดูดกลืนเข้าไปในหลุม


นี่เป็นรถตักขนาดยักษ์ที่ใช้ทำงานในเหมืองเพชรนี้ รถตักมหึมาคันนี้หนักกว่า 220 ตันทีเดียว

ภาพถ่ายทางอากาศชี้ให้เห็นว่ารถตักยักษ์นั้นมีขนาดเพียงขี้ผงเมื่อเทียบกับขนาดเหมือง
(สังเกตลูกศรแดงในภาพ)

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ควันธูปภัยร้ายใกล้ตัว


ธูปทำมาจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมพอกอยู่บนก้านไม้

ธูปมีหลายรูปแบบ หลายขนาด ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มาก ๆ สามารถเผาไหม้หมดได้ในเวลา 20 นาที ถึง 3 วัน 3 คืนก็มี คาดว่า มีคนจุดธูปทั่วโลกปีหนึ่ง ๆ เป็นหมื่น
ถึงแสนตัน

การเผาไหม้ของธูปจะปล่อยสารต่าง ๆ มากมาย มีทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน และสารก่อ
มะเร็งหลายชนิด เช่น สาร PAH ซึ่งพบว่า มีความสัมพันธ์กับมะเร็งปอด ผิวหนัง และกระเพาะปัสสาวะ , สารเบนซีน สัมพันธ์กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว และสาร 1,3-บิวทาไดอีน
สัมพันธ์กับมะเร็งของระบบเลือด

นอกจากควันธูปเป็นมลพิษทางอากาศที่สำคัญในบ้าน อาคาร สถานที่ทำงาน วัด และศาลเจ้าที่มีการจุดธูปแล้ว การจุดธูปยังถือเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมในกิจวัตร
ประจำวันของมนุษย์ ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย

การจุดธูปเป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานจากความเชื่อที่มีมาแต่โบราณสืบทอดต่อ ๆ กันมาว่า ทำให้สิ่งที่เราสักการะรับทราบถึงการกระทำของเรา การจุดธูปนั้นก่อให้เกิด
ความสุขทางจิตใจ แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือ การส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน และอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง

เราควรจะปรับเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรมนี้ใหม่ โดยหันมาคำนึงถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและตัวเรา ด้วยการรณรงค์ให้ทั่วโลกลดการจุดธูปโดยเริ่มจากคนไทยก่อน

ทางเลือกใหม่…ใส่ใจสุขภาพ

1.ใช้ธูปที่มีขนาดสั้นลง หรือเป็นแบบชนิดไฟฟ้า

2.หากจำเป็นต้องจุดธูป ควรตั้งกระถางธูปไว้ภายนอกอาคารที่อากาศถ่ายเทสะดวก

3.จุดธูปแล้วรีบดับ โดยจุ่มลงในน้ำหรือทราย

4.อาจสักการะได้โดยการพนมมือ หรือถือธูปไว้ แต่ไม่จุด แล้วระลึกถึงสิ่งที่เราจะสักการะ

5.การไหว้พระออนไลน์ ซึ่งเราสามารถจุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ ปิดทองพระ ท่องบทสวด ภาวนาจิตผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้

หากทุกคนช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็เป็นคนหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยมลพิษ และก๊าซเรือนกระจก
ลดภาวะวิกฤติโลกร้อน และยังช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลงได้

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รู้จักและป้องกัน ทัน “อีโคไล”


มาทำความรู้จัก “อีโคไล Escherichia” แบคทีเรียร้ายที่คร่าชีวิต

แบคทีเรียชนิดที่มีในร่างกายมนุษย์ ส่วนใหญ่จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “อีโคไล หรือ Escherichia” ซึ่งพบได้ในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ และอาการท้องร่วง เป็นต้น แบคทีเรียชนิด อีโคไลจะมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์

หลักจากพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ระบาดในประเทศอังกฤษ วันนี้นำข้อมูลเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดนี้ มาให้ได้รู้จักกันเพื่อเป็นการ ป้องกันและรับมือหากได้รับเชื้อชนิดนี้

เชื้ออีโคไล แพร่สู่คนได้อย่างไร เชื่อแบคทีเรียอีโคไลจะแพร่สู่คนได้ จากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อชนิดนี้ มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ได้รับการปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ

จำนวนผู้ได้รับเชื้ออีโคไล หน่วยงานด้านการป้องกันโรคในประเทศอังกฤษรายงานว่าในปี 2551 มีผู้ได้รับเชื้ออีโคไลและมีอาการป่วยที่เกิดจากการได้รับเชื้อ 950 ราย

การระบาดของเชื้ออีโคไล การแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษ และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 20 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่รับประทานอาหารขณะร่วมพิธีในโบสถ์แห่งหนึ่งในปี 2539-2540

อาการของผู้ได้รับเชื้ออีโคไล จะพบอาการแต่เริ่มท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ

ระยะฟักตัวของเชื้ออีโคไล ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ประมาณ 3-8 วัน และจะปรากฏอาการในช่วง 3-4 วันหลังการได้รับเชื้อ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อจะสามารถนำเชื้อชนิดนี้ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่เชื้อส่วนที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อย ยังสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่นเกิดภาวะไตเสื่อม ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ผู้เสี่ยงได้รับเชื้ออีโคไล เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จะเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้ออีโคไลมากที่สุด เนื่องจากร่างกายของคนกลุ่มนี้ จะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้น้อยกว่า คนทั่วไป

การป้องกันและรักษาเมื่อได้รับเชื้ออีโคไล ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาอาการ ที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิด นี้โดยตรง ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดท้องได้ในเบื้องต้น แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มสเตอรอยด์ เช่นยาแอสไพริน เพราะยากลุ่มนี้จะมีผลทำลายไตของผู้รับประทาน นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการได้รับเชื้อ “ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์“

วิธีการบริโภคที่ปลอดภัย
….. ล้างผักก่อนด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ผักที่มีลักษณะเป็นกาบ เป็นหัว เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ให้ลอกเปลือกชั้นนอกทิ้งไป และแกะกลีบหรือใบออกจากต้น ตลอดจนคลี่ใบและถูระหว่างการล้าง เพื่อให้น้ำผ่านได้อย่างทั่วถึง ในการล้างควรล้างผักผ่านน้ำไหลนานประมาณ 2-3 นาที การล้างวิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคและพยาธิ รวมทั้งลดปริมาณการปนเปื้อนเคมีที่ใช้ในภาคเกษตรลงได้ค่ะ นอกจากนี้ ขอให้แยกเก็บอาหารระหว่างเนื้อสัตว์สดและผักสดไม่ให้ปะปนกัน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคด้วยนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาหารต้านเครียด...คืนความสดใสให้ผิว



คุณสาว ๆ เคยสังเกตหรือไม่ว่ารอบ ๆ ตัวเราเต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดพันอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาการเมือง และด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้เราเกิดความเครียดพ่วงความกดดันได้ง่าย บางครั้งก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ผลกระทบที่เกิดจากความเครียดนั้นมีมากมาย ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ เช่น หงุดหงิด กลัว วิตกกังวล ปวดหัว อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง ย้ำคิดย้ำทำ เกิดอาการผิดปกติทางประสาทหรือทางใจ หรือแม้กระทั่งมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งถ้าเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือเกิดระยะยาวนานก็จะทำให้จิตใจปั่นป่วน และเกิดอาการทุกข์ทางใจที่ยากเกินแก้ไขได้


แน่นอนค่ะว่า คงไม่มีใครต้องการให้ตัวเองเครียด ซึ่งวิธีหนึ่งที่ได้ผลก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ นอกจากจะสามารถช่วยต้านความเครียดแล้วยังคืนความสดใสให้เราได้เหมือนเดิมอีกด้วย ซึ่งอาหารที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นก็มีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย ดังนั้นเราควรจะใคร่ครวญให้ดีก่อนว่า ควรรับประทานอาหารประเภทใดที่จะมีประโยชน์ ต่อร่างกายและหลีกเลี่ยงอาหารที่จะให้โทษแก่ร่างกาย โดยควรปฏิบัติดังนี้


หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มความเครียด ได้แก่ อาหารที่มีแคลอรี่สูง เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมคาเฟอีน อาหารขยะและอาหารจานด่วน อาหารเหล่านี้หากรับประทานเป็นประจำนอกจากจะทำให้เกิดโรคอ้วน เนื่องจากได้รับแต่แคลอรี่ล้วน ๆ แล้ว เกลือในอาหารก็เป็นตัวช่วยในการเพิ่มความดันโลหิตสูง นอกจากนี้สารกันบูดในอาหารจะทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ หรือรับประทานได้เป็นครั้งคราว


ควรหันมารับประทานอาหารแนวธรรมชาติที่ให้ความสมดุลในร่างกาย ซึ่งได้แก่ อาหารหลัก 5 หมู่ อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ อาหารไขมันต่ำ นอกจากนี้การทานวิตามินบีและสารอาหารประเภทแอนตี้ออกซิเดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีก็จะช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันและทนต่อความเครียดในสภาวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งการทานวิตามินซีนอกจากจะช่วยต้านความเครียดแล้วยังมีประโยชน์มากมายที่สาว ๆ ชอบกันมากคือ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ช่วยต้านหวัด ยิ่งในปัจจุบันยังมีให้ทานในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ทำให้ง่ายและสะดวกในการรับประทาน


สุดท้ายการมองโลกในแง่ดี นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้การทำร่างกาย จิตใจ ให้เป็นสมาธิหรือเดินทางสายกลาง ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป หรือหย่อนยานจนเกินไป เหล่านี้ก็จะทำให้เรื่องเครียดเป็นปัญหาที่เราสามารถจัดการออกไปได้ไม่ยาก

10 วิธีทําให้คนอื่นชื่นชอบคุณ

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน การได้เป็นที่รัก ที่ชอบพอของคนรอบตัวนั้น ก็นับเป็นสิ่งประเสริฐที่ทุกคนปรารถนา แต่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องดีงามเป็นพื้นฐานด้วย ไม่ใช่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนอื่นพอใจรักใคร่ ทั้ง 10 ข้อที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นสูตรปรุงเสน่ห์ ซึ่งทำได้ไม่ยาก แต่ท้าทายให้ทุกคนใส่ใจและทดลองปฏิบัติ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถึงเวลา หากสำรวจเข้าจริงๆ บางคนก็ขาดไปหลายข้อเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา ง่ายเสียจนเราละเลย ลืมให้ความสำคัญ ลืมปฏิบัติกันให้เป็นนิสัย
1. จำชื่อเขาให้ได้
ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่าคุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคนอย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูกนะครับ
2. รู้จักทักทาย
การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำชื่อคนให้ได้ไปทำไมกันครับ ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?
3. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า
จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียดเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้
4. มีนิสัยง่ายๆ
นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่ ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสาใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไรครับ เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด
5. อย่าอวดตัวเอง
จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่องเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ (คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า
6. จงมีนิสัยร่าเริง
เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ "ติด" ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย
7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสาการกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิดหรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ
8. ทิ้งมันไป...นิสัยเสียๆ
บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่องอยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้ เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่นตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม
9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง
น่าประหลาด... คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหมครับ ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเถิดว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”
10. ชมเชยให้เป็น
อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง!

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศส

ครัวซ็อง
ครัวซ็อง (ฝรั่งเศส: croissant, ออกเสียง: /kʀwa.sɑ̃/) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)

การทำครัวซ็องจะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟเพสทรี) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้







บาแก็ต



บาแก็ต (ฝรั่งเศส: baguette, ออกเสียง /baɡɛt/) หรือ ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช
แต่อดีตจะรับประทานเปล่า ๆ ไม่มีส่วนผสมใด ๆ

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ 6 ล้อ คันแรกของโลก



Mthai News : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการเปิดตัวรถยนต์ 6 ล้อ คันแรกของโลกที่งานเทศกาล กู๊ดวู๊ด ประเทศอังกฤษ รถคันนี้ยี่ห้อโควินี่ รุ่น C3A ซึ่งข้างหน้ามี 4 ล้อ และข้างหลังอีก 2 ล้อ เครื่องยนต์ 4.2 ลิตร 500 แรงม้า ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 300 กม./ชั่วโมง

ทั้งนี้ ความโดดเด่นของรถยนต์ คันนี้ คือ ตัวรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ล้อ 4 ล้อด้านหน้านั้น ช่วยป้องกันการระบิดได้ หากว่า ล้อใดล้อหนึ่งเกิดระเบิด อีก 3 ล้อจะช่วยพยุงไม่ให้รถคว่ำ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรคและยึดเกาะถนน มีใบพัด 6 อัน เพื่อช่วยไล่ความร้อนและความชื้น ล้อหลัง 2 ล้อ ส่วนประตูเปิดแบบยกขึ้น ดีไซน์ข้างในนั้นออกแบบตามแต่ลูกค้าต้องการ ที่สำคัญมีน้ำหนักเพียง 1,150 กิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม รถรุ่นนี้ไม่มีวางจำหน่าย จึงยังไม่มีการกำหนดราคาที่แน่นอนไว้ แต่หากในอนาคต รถ 6 ล้อเป็นที่ต้องการของตลาด ก็อาจมีผู้ผลิตรายอื่นผลิตรถแบบนี้ออกมาขายก็ได้






วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

How cheese is made.


Step 1 - Milk IntakeQuality cheese begins with one key ingredient – quality milk. Before the cheesemaking process begins, incoming milk is first tested for quality and purity. It takes approximately 10 pounds of milk to make one pound of cheese.

Step 2 - StandardizationNext, the milk is weighed, heat treated or pasteurized to ensure product safety and uniformity.

Step 3 - Starter Culture & CoagulantStarter cultures, or good bacteria, are added to start the cheesemaking process. They help determine the ultimate flavor and texture of the cheese. Next, a milk-clotting enzyme called rennet is added to coagulate the milk, forming a custard-like mass.

Step 4 - CuttingIt's then cut into small pieces to begin the process of separating the liquid (whey) from the milk solids (curds). Large curds are cooked at lower temperatures, yielding softer cheeses like Mascarpone and Ricotta. Curds cut smaller are cooked at higher temperatures, yielding harder cheeses like Gruyere and Romano.

Step 5 - Stirring, Heating & DrainingCheesemakers cook and stir the curds and whey until the desired temperature and firmness of the curd is achieved. The whey is then drained off, leaving a tightly formed curd.

Step 6 - Curd TransformationDifferent handling techniques and salting affect how the curd is transformed into the many cheese varieties made in Wisconsin.

Step 7 - PressingPressing determines the characteristic shape of the cheese and helps complete the curd formation. Most cheeses are pressed in three to 12 hours, depending on their size.

Step 8 - CuringDepending on the variety and style of cheese, another step may be curing. Curing is used for aged cheeses and helps fully develop its flavor and texture. The cheese is moved to a room that is carefully controlled for required humidity and temperature and may be aged for up to 10 years.

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

6 ทริคเด็ด เก็บเงินให้อยู่ ยามฉุกเฉินจะได้อุ่นใจ




......โรคติดต่อที่คุณสาวๆ จะเป็นกันทุกคนนั่นก็คือ ต้นเดือนฉันจะซื้อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป่า หรือเข้าไปนั่งกินอาหารหรูในร้านเก๋ๆ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนกลางเดือนเนี่ยแหละ…เอ๊ะ! ทำไมเงินฉันหมดไวจัง เงินเก็บก็ไม่มี แถมเดือนนี้ยังติดลบอีกต่างหาก…แล้วชีวิตฉันจะรอดก่อนเงินเดือนออกไหมเนี่ย ทำไงดี…?




.. ใช้เงินสดดีกว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าทำบัตรเครดิตกันเชียวนะคะ เพราะถ้าหากเราทำปุ๊บ นิสัยเคยตัวก็จะตามมา…เคยใช้เท่าไหร่ก็พอแค่นั้นค่ะ

.. แต่…ถ้าหากว่าคุณมีบัตรเครดิตหลายใบ เลือกใช้เดือนละใบ จะช่วยคุมค่าใช้จ่ายได้ และจะได้ทราบว่าเดือนนี้ เราจ่ายอะไรไปบ้าง

.. หักเงินเก็บจากเงินเดือนไว้อย่างน้อย 10 % แล้วนำเงินที่เหลือ มาหาร 30 วัน คุณจะรู้ว่าแต่ละวันไม่ควรใช้เงินเกินเท่าไหร่

.. ลงทุนซื้อของชิ้นใหญ่ไปเลย เช่น แชมพูขวดใหญ่ เพราะเทียบปริมาณกับราคาแล้ว รับรองว่าคุ้มกว่าเยอะค่ะ

.. กระปุกออมสินยังไม่เชย เศษเหรียญที่เหลือแต่ละวัน หยอดใส่กระปุกไว้…คุณสาวๆ ทราบไหมคะ ว่าการออมด้วยกระปุกออมสินเนี่ย ทำให้เรามีเงินมากโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ

.. จดรายการของใช้ที่จำเป็นต้องซื้อ เวลาที่คุณสาวๆ ออกไปเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้านั้น แน่นอนเลยค่ะว่า เราจะไม่ได้แค่ของใช้ที่คิดเอาไว้ มันจะตามมาด้วยสิ่งของอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น แถมยังเป็นการสิ้นเปลืองอีกต่างหาก…

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ผลวิจัยชี้ วิ่งถอยหลังมีประโยชน์กว่า วิ่งปกติ



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรเแกน สหรัฐอเมริกาชี้แจงว่าการวิ่งถอยหลังนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าการวิ่งปกติ เพราะใช้ความเร็วเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ ของการวิ่งปกติ

ทั้งนี้ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สเตลเลนบอสช์จากแอฟฟริกาใต้ยังยืนยันว่าการวิ่งถอยหลังยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือดด้วย จากการทดลองให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งถอยหลัง 3 ครั้งต่อสัปดาห์เทียบกับคนที่ออกกำลังการเป็นปกติประจำทุกวัน ผลคือ คนที่วิ่งถอยหลังจะลดปริมาณการเผาผลาญออกซิเจน ซึ่งหมายความว่าจะช่วยทำให่ร่างกายมีสุขภาพดีได้มากกว่า และยังเผาผลาญไขมันได้ 2.5 เปอร์เซ็นต์ด้วย

นอกจากนี้ผู้ที่วิ่งถอยหลังเป็นประจำยังบอกว่าการวิ่งถอยหลังนั้นจะมีผลดีต่อข้อต่อ ทำให้เหนื่อยได้เร็วกว่าการวิ่งปกติ และส่งผลดีต่อการทรงตัวและบุคลิกภาพที่ดีด้วย

ตะลึง!! พ่อแม่ผิวดำได้ลูกผิวขาว ผมบลอนด์



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หญิงผิวดำได้ให้กำเนิดลูกชายเป็นเด็กชายผิวขาว ผมบลอนด์ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้เธอและสามีอย่างมาก แต่พวกเขาก็ถือว่าหนูน้อยคือความมหัศจรรย์ของชีวิต

ทั้งนี้ฟรานซิส ชิบิงกุ อายุ 28 ปี และอาร์แลต ชิบิงกุ อายุ 25 ปี เป็นสามีภรรยาผิวดำที่มีลูกชายคนโต คือ


เซท วัย 2ขวบ ซึ่งมีลักษณะทุกอย่างเหมือนกับพ่อแม่ แต่เมื่อลูกชายคนเล็กคลอดออกมาเมื่อ ประมาณ 3เดือนก่อน ก็ทำให้ทั้งคู่ตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อหนูน้อยดาเนียล มีสีผิวและสีผมเหมือนคนผิวขาว แตกต่างจากพ่อแม่และพี่ชายอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจว่าหนูน้อยคือลูกของพวกเขาแน่นอน ซึ่งฟรานซิสนั้นพูดติดตลกว่าหากหนูน้อยโตขึ้น คนอื่นคงต้องคิดว่าทั้งคู่ไปขโมยลูกคนอื่นมาเป็นแน่

อย่างไรก็ตามอาร์แลตบอกว่า เมื่อครั้งคุณทวดของคุณทวดของเธอ ก็เคยให้กำเนิดลูกเป็นเด็กผิวขาวเหมือนกัน แต่เธอไม่คิดว่าผ่านมาถึง 6 ช่วงอายุคนแล้วจะยังมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อีก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอและสามีคงไม่ใช่เรื่องสีผิว แต่พวกเขาหวังให้ลูกชายเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีก็พอแล้ว

ภาพถ่าย 3 มิติบนอวกาศ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเปาโล เนสโพลี่ นักบินอวกาศได้โพสต์ภาพถ่าย 3 มิติ ฝีมือตัวเองขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค ยอดฮิตอย่าง ทวิตเตอร์ จนทำให้มีคนติดตามถึง 46,000 คน

นักบินอวกาศสัญชาติอิตาลีคนนี้ปฏิบัติการอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปลายปีที่แล้ว เขามักโพสต์ภาพกิจกรรมที่ทำร่วมกับนักบินคนอื่นๆ รวมทั้งภาพของโลก หรือดวงดาวบนความสูงเหนือวงโคจรโลก ราว 220 ไมล์ (352 ก.ม.) ที่เขาได้พบผ่านทวิตเตอร์ และตอนนี้ยังโพสต์ภาพ 3 มิติอีกด้วย

ทั้งนี้เปาโลบอกว่า เขาภาวนาให้ทุกคนได้มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนอวกาศเช่นเดียวกับเขา แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ดังนั้นเขาจึงอยากแบ่งปันความรู้สึกและบรรยากาศขณะที่อยู่บนนี้ให้คนอื่นได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขาบ้าง

อย่างไรก็ตามทุกวันนี้มีคนกดติดตามเขาผ่านทวิตเตอร์ราว 200 – 500 คนต่อวัน เพราะคนให้ความสนใจและตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เขาโพสต์ ซึ่งภาพ 3 มิติของเขาจะสมจริงก็ต่อเมื่อดูผ่านแว่นสำหรับดูภาพ 3 มิติ