วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553




- เลิกเรียนปุ๊บ กลับบ้านปั๊บ !! โดยทั่วไปไฮสคูลจะเลิกกันช่วงบ่าย ประมาณบ่ายสองบ่ายสาม และเมื่อเลิกเรียนปุ๊บ ทุกคน ย้ำว่า ทุกคนจะออกจากโรงเรียนปั๊บ ไม่มีนักเรียนคนไหนอยู่ต่อ ประเภทที่นั่งชิลเรื่อยๆ นั่งทำการบ้าน นั่งเม้าท์ เล่นกีฬา อะไรแบบนี้ไม่มีเลยค่ะ เล่นเอาช็อกไปเหมือนกันว่าจะรีบกลับกันไปไหน เพราะโรงเรียนร้างเลยค่ะ ไม่มีใครเหลืออยู่เลย อันนี้แอบแปลกนะเนี่ย ถ้าเป็นเด็กไทยนี่ เลิกเรียน 3 โมง นั่งกันไปเห๊อะ นั่งชิลเรื่อยๆ จน 5-6 โมงเลยเนาะ ฮ่าๆ


- Detention !! คำนี้เป็นคำที่รู้กันดีในหมู่นักเรียนว่า ถ้าใครมาสายจะต้องโดน detention ซึ่งหมายถึงการกักขังอะไรทำนองนั้นค่ะ แต่ไม่ได้หมายถึงเอาไปขังในคุกนะคะ แต่จะเป็นการโดนกักตัวในห้องเล็กๆ ของเหล่าคนมาสาย ซึ่งจะต้องอยู่ในห้องนั้นกันประมาณ 1 ชั่วโมงถึงจะอนุญาตให้กลับเข้าห้องเรียนได้ (บางทีก็อาจโดนหลังเลิกเรียน ถึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้) จนมีคำฮิตติดปากว่า I got the detention again. (วันนี้ฉันโดนกักตัวอีกแล้ว) ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่คนที่มาสายนะคะ แต่รวมถึงคนที่ทำผิดระเบียบ แต่งตัวไม่ถูกต้อง


- G' Day (อ่านว่า กู๊ดเดย์) เป็นคำทักทายของคนออสเตรเลีย ที่มักจะพูดติดปากไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน ใช้แทน Hello , Good morning , Good afternoon , Good evening .....เรียกได้ว่าถ้าไปออสเตรเลีย เรามักจะได้ยินคำว่า กู๊ดเดย์ มากกว่า เฮลโล่ ซะอีกหรือพวกเด็กเกเร ก็มักจะโดน detention กันบ่อยๆ


- ไม่ต้องจุ๊บ ! น้องๆ บางคนเคยเห็นตามซีรีส์ตะวันตกที่เวลาฝรั่งเจอกัน จะต้องเอาแก้มแนบแล้วจุ๊บ ดังนั้นพอไปถึงเมืองนอก เอาเลยค่ะ เลียนแบบซะเลย เตรียมตัวจุ๊บเต็มที่ 555 แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ! ไม่ใช่ทุกที่นะคะที่ทำแบบนี้ เพราะที่ออสเตรเลียไม่นิยมจุ๊บค่ะ แค่ทักทายว่ากู๊ดเดย์ก็พอแล้วล่ะ เพราะฝรั่งบางคนนี่ออกจะถือตัวด้วยซ้ำ ไปจุ๊บสุ่มสี่สุ่มห้า อาจโดนเหวี่ยงได้โดยไม่รู้ตัว แถมบางคนยังถือด้วยซ้ำว่าแกมาจุ๊บฉันทำไมเนี่ย 555+

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

10 อันดับ เมืองที่สว่างไสวที่สุดในโลก

แสงไฟจากสถานที่ต่างๆ ในยามค่ำคืน สว่างไสวเป็นสีสันสวยงาม ช่วยให้เมืองเหล่านี้ดูมีชีวิตชีวาท่ามกลางบรรยากาศในยามราตรี


อันดับที่ 10 Hong kong, China


อันดับที่ 9 Las Vegas, USA


อันดับที่ 8 Beijing, China




อันดับที่ 7 Athens, Greece


อันดับที่ 6 Madrid, Spain


อันดับที่ 5 Moscow , Russian Federatio



อันดับที่ 4 Paris, France


อันดับที่ 3 New York, USA


อันดับที่ 2 London, England




อันดับที่ 1 Tokyo, Japan











วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

โรคชิคุนกุนยา คืดโรคปวดข้อที่มียุงลายเป็นพาหะ

ชิคุนกุนยา แม้ไม่ร้ายแรงถึงตายแต่ก็ทรมานมิใช่น้อย อาการที่เด่นชัดที่สุดของโรคชิคุนกุนยาคือ อาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบได้หลายตำแหน่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการอาจจะรุนแรงมากจนเคลื่อนไหวหรือขยับข้อไม่ได้เลยจะรู้สึกปวดบริเวณข้ออย่างมาก โรคชิคุนกุนยามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา “Chikungunya Virus” โดยมีพาหะนำโรคคือยุงลาย โดยทั่วไปแล้วเราจะรู้จักยุงลายในฐานะเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออกที่มีอันตรายร้ายแรงต่อผู้ป่วยถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
อาการนำของโรคชิคุนกุนยาจะคล้ายกับโรคไข้เลือดออก แต่ความรุนแรงของโรคชิคุนกุนยาจะน้อยกว่าโรคไข้เลือดออก ยังไม่พบผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาที่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นช็อคหมดสติ ข้อแตกต่างระหว่างโรคชิคุนกุนยาและโรคไข้เลือดออกนอกจากจะแตกต่างกันในเรื่องระดับความรุนแรงของโรคแล้ว โรคไข้เลือดออกมักจะเกิดกับเด็กหรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีลงมาแต่โรคชิคุนกุนยาเกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนที่เหมือนกันของโรคชิคุนกุนยากับโรคไข้เลือดออกคือมียุงลายเป็นพาหะนำโรคเหมือนกัน
อาการปวดข้อจากโรคชิคุนกุนยา ทำให้ผู้ป่วยได้รับความทรมานมาก อาการปวดข้อจะหายไปไประยะเวลา 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อซ้ำอีกภายใน 2-3 สัปดาห์และผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้ออยู่นานนับเดือนหรือเป็นปี ระยะฟักตัวของโรคชิคุนกุนยาใช้เวลาประมาณ 1-12 วัน แต่ส่วนมากจะเป็น 2-3 วัน ระยะที่มีไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 เป็นระยะที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลันและอาจมีอาการร่วมอย่างอื่นเช่น ปวดกล้ามเนื้อ ผื่นแดงขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดกระดูก ปวดข้อ
โรคชิคุนกุนยา ยังไม่มียาหรือวัคซีนรักษาโดยตรง ต้องรักษาตามอาการคือถ้ามีอาการไข้สูง อาการปวดข้อก็ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวดและให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นโรคชิคุนกุนยาโดยการทำลายการแพร่พันธุ์ของตัวพาหะนำโรคคือยุงลาย หมั่นตรวจรอบๆบริเวณบ้านอย่าให้มีน้ำขังที่อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ภาชนะเก็บน้ำควรมีฝาปิดให้มิดชิด ควรนอนในมุ้งเพื่อป้องกันยุงกัดหรือถ้าออกไปทำงานในสวน นอกบ้านก็ให้ทายากันยุงขณะทำงาน กันไว้ดีกว่าแก้...แน่นอนที่สุด.

ประโยชน์ของมะละกอ

มะละกอ

มะละกอ (Papaya) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ ฯลฯ หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้
นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาพาอิน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้
ประโยชน์ของมะละกอ
มะละกอถูกนำไปใช้ประโยชน์เกือบทุกส่วนของต้น เริ่มจากส่วนใบและยอดของมะละกอสามารถใช้เป็นผักเพื่อปรุงอาหารได้ ส่วนลำต้นของมะละกอหากปอกเปลือกออกจะเห็นเนื้อภายในสีขาวครีม มีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายหัวผักกาดของจีน สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน(ดองเค็ม-ตากแห้ง) เป็นอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้สารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี แคลเซียม ธาตุเหล็กและวิตามินซี สารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น
ผลมะละกอ(โดยเฉพาะผลดิบ)จะมียางสีขาวข้นที่นำมาใช้ประโยชน์โดยสกัดเป็นเอนไซม์ปาเปอีน(Papain) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยังใช้หมักเนื้อ(ปรุงอาหาร)ทำให้เนื้อนุ่มอีกด้วย ประโยชน์ของยางมะละกอถูกใช้ในการปรุงอาหารโดยใส่ในหม้อขณะต้มเนื้อเพื่อเร่งให้เนื้อเปื่อยเร็วขึ้น ผลมะละกอทั้งผลดิบและผลสุกยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ผลมะละกอดิบมีสรรพคุณทางยาสามารถใช้เป็นพืชสมุนไพรช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ นอกจากนี้ผลมะละกอดิบยังนำไปใช้ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคือ ชามะละกอที่มีสรรพคุณในการช่วยล้างลำไส้ โดยบริเวณผนังลำไส้ของคนเราจะมีคราบไขมันเกาะติดอยู่เนื่องจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันนี้จะเป็นตัวคอยขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่ การดื่มชามะละกอเป็นประจำจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพช่วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ทำให้ระบบดูดซึมสารอาหารของลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่
ประโยชน์ของมะละกอดิบ ที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกอย่างหนึ่งคือการนำไปปรุงเป็นอาหาร “ส้มตำ” ซึ่งถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” ที่คนรู้จักกันดี ส่วนผลมะละกอสุกมีประโยชน์หลายอย่างไม่แพ้ผลมะละกอดิบเลยคือการกินผลมะละกอสุกจะช่วยบำรุงธาตุ เป็นตัวช่วยย่อยอาหารทำให้ระบบขับถ่ายดีและยังมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ท้องไม่ผูก ผลมะละกอสุกยังนำไปทำเป็นเครื่องดื่มคือ “น้ำมะละกอ” ใช้ดื่มหลังอาหารช่วยในการย่อยอาหารและลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากในผลมะละกอมีเอนไซม์ปาเปอีน(Papain) นั่นเอง
ประโยชน์ของมะละกอสุก
ผลมะละกอสุกเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานเย็นอร่อยและมีคุณค่าทางอาหารสูงประกอบด้วยน้ำาร้อยละ 88 น้ำตาลร้อยละ 10 โปรตีนร้อยละ 0.5 ไขมันร้อยละ 0.1 กรดร้อยละ 0.1 กากร้อยละ 0.6 และเยื่อใยร้อยละ 0.7 นอกจากนี้เนื้อมะละกอสุกยังมีวิตามิน เกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูงมาก กล่าวคือ ในมะละกอจำนวน100 กรัมจะมีวิตามินเอ ถึงประมาณ 2,000 –3,000 หน่วยสากล มีไทอามีน 15 – 64ไมโครกรัม ไรโบฟลาวิน 28 – 83 ไมโครกรัม ไทอะซิน 0.15 – 0.76 ไมโครกรัมและกรดแอสคอบิค 33. – 136 มิลลิกรัมผลมะละกอสุกมีคุณสมบัติเป็นยาระบายแก้การท้องผูกได้ดี โดยส่วนมากจะใช้รับประทานแบบผลไม้สุก เป็นอาหารเช้า ของว่างหรือเป็นส่วนผสมในสลัดผลไม้ หรืออาจนำมาแปรรูปปรุงรสให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น เช่นเป็นเครื่องดื่ม เครื่องปรุงไอสครีมทำมะละกอเชื่อม ในปัจจุบันได้มีการนำเอามะละกอสุกมาใช้เป็นวัตถุดิบแทนในการผลิตอาหารมาก โดยเฉพาะการใช้ทดแทนมะเขือเทศเช่น ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตซ๊อสมะเขือเทศ ซ๊อสพริก น้ำมะเขือเทศเป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากมะละกอมีราคาถูกตลอดจนมีรส สี กลิ่นและแร่ธาตุต่างๆไม่ได้แตกต่างไปจากมะเขือเทศเท่าใดนัก จึงทำให้ผู้ผลิตนิยมมาก นอกจากนี้มะละกอสุกยังสามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในอุตสาหกรรมการผลิตสลัดผลไม้กระป๋อง น้ำแยมและมะละกอผงได้ดีอีกด้วย
มะละกอสุกยังมีประโยชน์อีกอย่างที่สำคัญคือ ในผลสุกจะมีวิตามินเอ แคลเซียม วิตามินบี1 วิตามินบี2 และสารอาหารที่สำคัญสำหรับคุณสาวๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณในด้านความงามเช่น บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ชะลอความแก่ ฯลฯ นับได้ว่ามะละกอเป็นผลไม้เพื่อความงามก็ไม่น่าจะผิด
นอกจากผลมะละกอแล้วยางมะละกอซึ่งมีสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ปาเปน" มีคุณสมบัติในการช่วยย่อยโปรตีนได้สูง คล้ายคลึงกับเอมไซม์เป็ปซินสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมได้หลายอย่างเช่น อุตสาหกรรมการผลิตเบียร์และเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมเนื้อหรือปลากระป๋อง โดยนำไปทำเป็นผงเปื่อยทำให้เนื้อเปื่อย อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ เช่น เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ยาใส่แผลฆ่าเชื้อต่างๆ ใช้แช่หนังสัตว์ในอุตสาหกรรมการฟอกหนังและขนสัตว์มีความต้านทานต่อการหดตัว ใช้แยกออกจากไหมแท้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ นอกจากนี้ยังใช้ในอุตสากรรม การทำสบู่ ยาสีฬัน เครื่องสำอาง กระดาษและอุตสาหกรรมหมากฝรั่งส่วนเปลือกมะละกอสามานำมาใช้เป็นผลพลอยได้ โดยใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เป็นสีส่วนผสมของอาหารเป็นต้น นอกจากนั้นใบอ่อนยังรับประทานเป็นผักได้ เมล็ดใช้ทำยาบีบมดลูกยาแก้อาการละคายเคืองหรือยาถ่ายพยาธิ ยอดหรือลำต้นใช้เป็นอาหารสัตว์ รากและก้านใบก็ยังสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ยาถ่ายพยาธิ หรือใช้ซักผ้าแทนสบู่หรือผงซักฟอกได้อีกด้วย
การปลูกมะละกอ เนื่องจากมะละกอถือเป็นพืชผักพื้นบ้านชนิดหนึ่งจึงนิยมปลูกในบริเวณรั้วบ้าน มะละกอเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร จึงไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก การปลูกมะละกอจึงง่ายแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำส่วนต่างๆ ของต้นมะละกอไปใช้งานหรือบริโภคนั้นมีมากมายหลายประการ อาจพูดได้ว่า มะละกอเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์เลยทีเดียวก็ได้