วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำผึ้งแท้ ดูอย่างไร


คุณค่าที่เราได้รับจากน้ำผึ้งนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งนี้เพราะว่าน้ำผึ้งก็จัดได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าทางยารักษาโรค และอุดมไปด้วคุณค่าทางอาหาร
สำหรับในเมืองไทยน้ำผึ้งที่ดีต้องเป็นน้ำผึ้งเดือนห้า (เดือนมีนาคม - เมษายน) เพราะเป็นเดือนที่มีดอกไม้บานเป็นจำนวนมาก และจะไม่มีน้ำฝนปนในน้ำผึ้งเนื่องจากเป็นหน้าแล้งอย่างเพลงที่ร้องว่า "เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า" นั่นแหล่ะ เนื่องจากน้ำผึ้งแท้เป็นของหายาก จึงมีคนทำน้ำผึ้งปลอมมาหลอกขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เช่น วิธีการนำน้ำมาใส่ในปี๊บกับน้ำตาลและใส่แบะแซทำขนม ต้มเคี่ยวไฟอ่อนๆ ก็จะได้สีน้ำผึ้ง ถ้าอยากได้นำผึ้งสีดำก็ใช้ไฟแก่เคี่ยว จากนั้นอาจใช้ผลมะตูมอ่อนฝานลงไป มะตูมจะมีกลิ่นออกคล้ายน้ำผึ้ง ถ้าจะให้เหมือนจริงก็นำน้ำผึ้งแท้มาทาปากขวดแล้วนำแม่ผึ้งไปเกาะ เท่านี้ก็หลอกเงินในกระเป๋าผู้ที่พิสมัยรสชาติของน้ำผึ้งได้โดยไม่ยาก
ดังนั้น ผู้บริโภคควรสังเกตให้ดีก่อนซื้อ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการรับประทานน้ำผึ้งสามารถพิสูจน์ได้ง่ายๆ จากการดูลักษณะ และการชิม แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็มีวิธีดูค่ะว่าน้ำผึ้งแท้ไม่แท้อย่างไร
น้ำผึ้งแท้ๆ ดูอย่างไร
- เมื่อใช้ไม้จิ้มน้ำผึ้งขึ้นมาจะหยดไหลเป็นสายบางๆ ไม่ขาดสายและจะพบกองเป็นชั้นๆ ก่อนที่จะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
- หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษซับจะกองเป็นหยดอยู่ระยะหนึ่ง ไม่ซึมหายไปเช่นน้ำเชื่อม
- หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ จะกองเป็นก้อนก่อนแล้วจึงค่อยๆ ละลาย
- โปร่งแสง
- มดไม่ขึ้น
- ถ้าอุณหภูมิต่ำน้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลกลูโคสตกเป็นเกล็ดเล็กๆ
- ถ้าหยดน้ำผึ้งลงบนสไลด์แล้วดูด้วยกล้องจุลทัศน์ จะพบละอองเกสรดอกไม้หลายๆ ชนิดเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีรูปร่าง ขนาด สีที่แตกต่างออกไป (พบในน้ำผึ้งธรรมชาติที่ไม่ใช่ผึ้งเลี้ยง)
วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้แบบโบราณ
- หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษมวนยาสูบ ถ้าเป็นน้ำผึ้งจริงจะจับกันเป็นก้อนไม่ดูดซับ ถ้าเป็นน้ำผึ้งเทียมจะดูดซึมน้ำหมดทำให้จุดไฟไม่ติด
- หยดลงในน้ำ ถ้าน้ำผึ้งแท้จะรวมกันอยู่ใต้แก้ว แต่ถ้าน้ำผึ้งเทียมน้ำจะละลายกระจายไม่รวมตัวกัน
จำไว้ง่ายๆ ว่า น้ำผึ้งที่ดีดูได้จากความใสบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งสกปรกหรือผึ้งปนอยู่ สี กลิ่น และรสจะมีลักษณะเฉพาะตามแบบของน้ำผึ้ง เช่น ข้น หนืด ไม่มีฟอง ก๊าซ หรือเกิดการแยกชั้นตกผลึก และไม่มีรสเปรี้ยวเลย ใครที่จะซื้อน้ำผึ้งก็นำเคล็ดไม่ลับนี้ไปประกอบการซื้อได้ค่ะ

กินผักอย่างไรให้ปลอดภัย

ผักกินแล้วดี มีประโยชน์ แต่รู้ไหมคะ ผักบางชนิดก็มีสารที่อาจเกิดผลเสียกับร่างกายได้เหมือนกัน การทำความรู้จักกับสารเหล่านี้จึงไม่ควรมองข้ามเพื่อที่คุณจะได้กินผักอย่างปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง
อย่ากินดิบ
- ถั่วฝักยาว ทำให้ท้องอืด ท้องขึ้น และผายลมมีกลิ่นแรง(มาก) เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากการย่อยเมล็ดและเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในสำไส้ใหญ่
- หน่อไม้ มันสำปะหลัง มีสารไซยาไนด์ในรูป "ไกลโคไซด์" ทำให้คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ และอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดทำงาน
- กะหล่ำปลี บรอกโคลี มีสารกอยโทรเจน (goitrogen) ขัดขวางการทำงานของต่อไทรอยด์ ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยและเกิดโรคคอพอกได้ในระยะยาว แต่ผลระยะสั้น การกินกะหล่ำปลีดิบบ่อยๆ อาจทำให้ท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อย
กินให้ถูกวิธี
- กระเทียม มีสารอัลลีซีน (allicin) หากกินตอนท้องว่าง อาจจะระคายเคืองกระเพาะอาหาร คลื่นไส้อาเจียน และปวดท้อง นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นไมเกรนอีกด้วย
- ผักกวางตุ้ง ผักกาด หากต้มนานเกินจะเกิดสารไทโอไซยาเนต (thiocyanate) ทำให้ท้องเสีย ความดันต่ำ กล้ามเนื้ออ่อนเพลียได้
- มันฝรั่ง มีสารโซลานิน (solanine) ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้ปวดศีรษะ กระตุ้นไมเกรน ควรเลือกมันฝรั่งที่มีสีเหลืองปนน้ำตาลหากเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือเริ่มแตกหน่อไม่ควรนำมาบริโภคเพราะมีพิษสูง
กินแต่พอดี
- แครอท หากกินมากเกินไปร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอไม่ทัน จนสะสมตามชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเป็นสีเหลือง เรียกว่า "โรคแคโรทีนีเมีย" ควรหยุดกินแครอทสักพัก สีผิวจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
- มะระ มีสารซาโปนิน (saponin) และอัลคาลอยด์ ชื่อโมโมดิซิน (momodicine) ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ คลื่นไส้อาเจียน ที่สำคัญหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มน้ำมะระคั้นเพราะอาจแท้งได้
- พริกไทยดำ มีสารอัลคาลอยด์ ไพเพอริน เมื่อทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนจะเกิดสารกลุ่มเอนไนโตรโซไพเพอริดีน (N nitroso piperidine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อกินติดต่อกันเป็นประจำจึงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง แต่การกินนิดหน่อยเพื่อเป็นส่วนประกอบของอาหาร เครื่องชูรส โดยทั่วไปไม่มีอันตราย
คนป่วยห้ามกิน
- ผักโขม มีสารออกซาเลต (oxalate) ทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคนี้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังพบสารออกซาเลตในหน่อไม้ ใบชะพลู และผักพื้นบ้างบางชนิด
- มะเขือเทศสีเขียว มีสารโซลานิน (solanine) ทำให้คนแพ้ปวดหัวข้างเดียว มีแผลในปาก ผื่นคันที่ผิวหนังหลังกินมะเขือเทศ
- หน่อไม้ฝรั่ง มีสารพิวริน (purine) สูง ทำให้คนป่วยโรคเกาต์ปวดข้อเพราะสารพิวรินจะกระตุ้นให้เกลือของกรดยูริกในกระแสเลือดเข้าไปเกาะตามข้อมากขึ้น แม้ผักบางชนิดจะมีสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย แต่หมายความว่าต้องกินผักชนิดนั้นในปริมาณมาก วันละเป็นกิโลกรัมขึ้นไป และกินผักชนิดเดิมซ้ำๆ ทุกวัน การกินผักในปริมาณที่เหมาะสมและหลากหลายชนิดโดยทั่วไปจึงไม่เป็นอันตราย

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ


อาหารช่วยให้สุขภาพดี ต้านอนุมูลอิสระ ห่างโรค
ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย

วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย

วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เตือนแช่บ่อน้ำร้อนนานไป หัวใจอันตราย

แพทย์เตือนคนเป็นโรคหัวใจไม่ควรแช่น้ำอุ่นนาน หวั่นเป็นอันตราย แนะแช่ไม่ควรเกิน 10 นาที และไม่ควรให้น้ำร้อนเกินไป
หน้าหนาวอย่างนี้ หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ การไปแช่บ่อน้ำพุร้อนตามสถานที่ต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งหลายคนรู้กันดีว่า การแช่บ่อน้ำพุร้อนนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นสบายตัวแล้ว แร่ธาตุต่าง ๆ ในบ่อน้ำพุร้อนยังช่วยรักษาสุขภาพได้อย่างดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า หากแช่น้ำร้อนผิดวิธี ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน
โดยนายแพทย์ชำนาญ หาญสุทธิเวชกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โดยปกติแล้วการแช่น้ำอุ่นไม่มีผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย ยกเว้นผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ น้ำร้อนอาจทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ทังนี้ นายแพทย์ชำนาญ จึงได้ให้คำแนะนำในการแช่น้ำอุ่นที่ถูกวิธี คือ ไม่ควรแช่น้ำเกิน 10 นาทีต่อครั้ง และไม่ควรให้น้ำมีอุณหภูมิร้อนจัดเกินไป นอกจากนี้ยังไม่ควรแช่น้ำหลังรับประทานอาหารมาอิ่ม ๆ ที่สำคัญคือหลังจากแช่น้ำแล้ว ควรทาครีมทาผิว เพื่อป้องกันผิวแห้งแตก และผิวหนังอักเสบด้วย

การสักทางการแพทย์

การสักทางการแพทย์ (สวยด้วยแพทย์)
การสักทางการแพทย์ (Therapeutic or Paramedical Tattoo) การที่การสักถูกประยุกต์ใช้เพื่อการรักษาคงทำให้หลาย ๆ ท่านมองการสักในแง่ที่ดีขึ้น ประโยชน์ของการสักเพื่อรักษามีทั้งเพื่อความสวยงาม เช่น สักคิ้วถาวร สักขอบตาถาวร สักขอบปากและริมฝีปากถาวร
นอกจากนั้นยังใช้เพื่อแก้ไขความผิดปกติบางอย่างของผิวหนัง ได้แก่ แผลเป็นจากอุบัติเหตุ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเป็นจากการผ่าตัด โรคด่างขาว (Vitiligo) ผมร่วง ขนคิ้วหรือขนตาร่วง การสร้างหัวนมใหม่ภายหลังการผ่าตัดเต้านม สร้างขอบปากหลังผ่าตัดปากแหว่ง
การสักเพื่อรักษายังเหมาะกับบุคคลที่อาจมีความยากลำบากในการแต่งหน้า เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคข้อ โรคที่ทำให้มือสั่น เคลื่อนไหวมือไม่สะดวก ผู้ที่แพ้เครื่องสำอาง เป็นโรคภูมิแพ้ (ทำให้มีน้ำตาไหลบ่อย ๆ) หรือผู้ที่มีปัญหาด้านสายตา เช่น สายตาสั้น ใส่คอนแทคเลนส์ เป็นต้น กระทั่งในรายที่ต้องการลบรอยสักเดิมซึ่งในบางตำแหน่งไม่สามารถลบออกได้ ก็สามารถจะใช้การสักสีทับลงไปเพื่อปกปิดได้ค่ะ
ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการทำ แพทย์จะซักประวัติสุขภาพและตรวจร่างกายโดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการรักษา จากนั้นแพทย์จะเลือกสีที่จะใช้สักที่เข้ากับสีผิวของคุณซึ่งสีที่ใช้นั้นเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด
ก่อนเริ่มสัก แพทย์จะใช้ทาเฉพาะที่เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บจากนั้นจะสักสีเข้าไปในผิวหนังโดยใช้เครื่องสัก ซึ่งประกอบด้วยเข็มขนาดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งเข็มที่ใช้จะเป็นเข็มชนิดที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งไม่นำกลับมาใช้ซ้ำและในระหว่างทำจะใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ ส่วนเวลาที่ใช้ประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง หลังทำสามารถกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องพักค้างคืนที่โรงพยาบาล
เมื่อผ่านขั้นตอนการสักแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลตาที่มุ่งหวัง ดังนี้
- ห้ามใช้สบู่ ครีมทำความสะอาดผิว เครื่องสำอางใด ๆ ในบริเวณที่ทำการสัก
-หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดการอาบน้ำร้อนหรืออบเซาน่าอย่างน้อย 3 วันหลังการสัก
-ห้ามลงสระว่ายน้ำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากคลอรีนในสระจะทำให้สีที่สักไว้จางลงได้
- พยายามรักษาความชุ่มชื้นบริเวณที่ทำโดยทายาตามแพทย์สั่ง ถ้าพบว่าบริเวณที่ทำมีสะเก็ดห้ามแกะหรือลอกออกเด็ดขาด ควรให้สะเก็ดลอกหลุดไปเอง
-คุณสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติส่วนการออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมาก เช่น การเต้นแอโรบิค ยกน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 3 วัน

ห้องสมุดประชาชนจังหวัดนครปฐม

1.แผนที่ตั้งห้องสมุดประชาชน

2.เลขที่/สถานที่ติดต่อ
เลขที่ 3 ถนนหน้าพระ ต.พระปฐมเจดีย์อำเภอเมืองจังหวัดนครปฐม 73000โทรศัพท์ : 0-3424-2481โทรสาร : 0-3427-1266

3.เวลาทำการ
จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 17.30 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.00 – 17.00 น. ปิดวันหยุดนักขัตฤกษ์

4.สิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดไว้ให้บริการ
- มุมฝากของ - มุมบริการคอมพิวเตอร์ - มุมอินเทอร์เน็ตและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ - มุมหนังสือเด็กและเยาวชน -มุมอ่านวารสารและหนังสือพิมพ์ - มุมหนังสืออ้างอิง - มุมหนังสือบันเทิง - มุมกาแฟ - มุมสื่อการศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช - มุมแนะนำหนังสือใหม่

5.การบริการ อาทิ
- บริการยืม-คืน- บริการตอบคำถามช่วยการค้นคว้า- บริการข้อมูลท้องถิ่น- บริการแนะนำการใช้อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์เบื้องต้น- บริการแนะนำการใช้ห้องสมุด การเขียนบรรณานุกรม- บริการแนะนำการใช้โปรแกรมบริการงานห้องสมุด (PLS)

6.บรรยายเกี่ยวกับห้องสมุดประชาชน
ห้องสมุดประชาชนจังหวัดนครปฐมก่อตั้งมาเป็นเวลา 23 ปี มีที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้กับองค์พระปฐมเจดีย์สามารถเดินทางมาห้องสมุดได้อย่างสะดวก ห้องสมุดมีการพัฒนาปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ดำเนินการในรูปแบบ “ห้องสมุดมีชีวิต” ด้วยการจัดตกแต่งบริเวณภายนอกให้ร่มรื่น และภายในให้มีสีสันสดใส มีหนังสือและสื่อต่างๆ ที่ทันสมัยไว้ให้บริการตามความต้องการของผู้ใช้บริการทุกเพศ ทุกวัย รวมทั้งมีกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน และกิจกรรมนันทนาการสำหรับประชาชนให้ศึกษาค้นคว้า และร่วมกิจกรรมได้ตามอัธยาศัย

7.ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การแสวงหาความรู้ หรือการเรียนรู้
ห้องสมุดประชาชนจังหวัดนครปฐมได้จัดกิจกรรม “ตอบคำถามดีมีรางวัล” มาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือนยกเว้นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอมรูปแบบการจัด : จัดทำใบคำถามส่งไปยังโรงเรียนใกล้เคียง และต้องส่งคำตอบเมื่อสิ้นเดือนรางวัล : คูปองของขวัญมูลค่า 200 บาท จำนวน 5 รางวัล ต่อเดือนผู้สนับสนุนรางวัล : คุณมิซูโอะ โยชิดะผู้ร่วมกิจกรรม : เด็กที่มีอายุไม่เกิน 13 ปี กิจกรรมตอบคำถาม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไป ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดโรงเรียน เพื่อเป็นเครือข่ายส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านร่วมกัน

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เลขโรมัน

เลขโรมัน เป็นระบบตัวเลขที่ใช้ในโรมโบราณ เลขโรมันถือเป็น ระบบเลขไม่มีหลัก หมายความว่า ไม่ว่าจะเขียนตัวเลขแต่ละตัวไว้ ณ ตำแหน่งใดของค่าตัวเลขนั้นจะมีค่าคงที่เสมอ ระบบเลขโรมันมีสัญลักษณ์ที่ใช้กันดังนี้
I หรือ i มีค่าเท่ากับ 1
V หรือ v มีค่าเท่ากับ 5
X หรือ x มีค่าเท่ากับ 10
L หรือ l มีค่าเท่ากับ 50
C หรือ c มีค่าเท่ากับ 100
D หรือ d มีค่าเท่ากับ 500
M หรือ m มีค่าเท่ากับ 1,000

การเขียนเลขโรมัน สามารถเขียนแทนเฉพาะจำนวนเต็มบวกเท่านั้น เนื่องจากในสมัยก่อนโรมยังไม่มีสัญลักษณ์แทนเลขศูนย์หรือเลขทศนิยม โดยให้เขียนจากสัญลักษณ์ที่มีค่ามากแล้วลดหลั่นกันไปยังสัญลักษณ์ที่มีค่าน้อย เช่น
MCCCXXV มีค่าเท่ากับ 1,000 + 300 + 20 + 5 = 1,325
MMMDLXVII มีค่าเท่ากับ 3,000 + 500 + 60 + 7 = 3,567
ถ้าเขียนสัญลักษณ์ที่มีค่าน้อยกว่าไว้ด้านหน้าสัญลักษณ์ที่มีค่ามากกว่า ค่าของจำนวนที่ได้จะมีค่าเท่ากับจำนวนที่มีค่ามากลบด้วยจำนวนที่มีค่าน้อย และจะเขียนสัญลักษณ์เพียงคู่เดียวในแต่ละหลักเท่านั้น เช่น
IX มีค่าเท่ากับ 10 − 1 = 9
XL มีค่าเท่ากับ 50 − 10 = 40
MCMLXXVII มีค่าเท่ากับ 1,000 + (1,000 − 100) + 70 + 7 = 1,977
MMCDLXVIII มีค่าเท่ากับ 2,000 + (500 − 100) + 60 + 8 = 2,468
จำนวนที่มีค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามสัญลักษณ์ดังกล่าว จะเขียน บาร์ (ขีด) ไว้บนสัญลักษณ์เหล่านี้ ซึ่งหากบาร์ถูกกำหนดไว้บนสัญลักษณ์ใด สัญลักษณ์นั้นจะแทนจำนวนซึ่งมีค่าเท่ากับสัญลักษณ์นั้นคูณด้วย 1,000 เช่น
V มีค่าเท่ากับ 5 × 1,000 = 5,000
X มีค่าเท่ากับ 10 × 1,000 = 10,000
L มีค่าเท่ากับ 50 × 1,000 = 50,000
C มีค่าเท่ากับ 100 × 1,000 = 100,000
D มีค่าเท่ากับ 500 × 1,000 = 500,000
M มีค่าเท่ากับ 1,000 × 1,000 = 1,000,000
โดยปกติแล้ว การเขียนเลขโรมันจะไม่เขียนสัญลักษณ์เดียวกันอยู่ติดกันตั้งแต่ 4 ตัวขึ้นไป ยกเว้นบนหน้าปัดนาฬิกา ที่จะใช้ IIII แทนเวลา 4 นาฬิกาหรือ 16 นาฬิกา เพื่อป้องกันความสับสนในการอ่านเวลา

ตัวอย่างการเขียนเลขโรมัน
เลขโรมัน เลขอารบิก
I 1
II 2
III 3
IV 4
V 5
VI 6
VII 7
VIII 8
IX 9
X 10
XI 11
XII 12
XX 20
XXX 30
XL 40
L 50
LX 60
LXX 70
LXXX 80
XC 90
C 100
CC 200
CD 400
D 500
DC 600
DCC 700
DCCC 800
CM 900
M 1,000
MM 2,000
MMX 2,010
MMDLIII 2,553
MMMCMXCIX 3,999

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัยรุ่นกับยาเสพติด

ปัญหาวัยรุ่นกับยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่มากในขณะนี้ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมในปัจจุบันวัยรุ่น ถึงหันเข้าไปหายาเสพติดกันมากอย่างนี้ เท่าที่ได้มีการสำรวจมา สาเหตุใหญ่ของการเริ่มเข้าไปใช้ยาเสพติดของวัยรุ่นยังเป็นเรื่องของความ ”อยากลอง” ความเป็นวัยรุ่นของเขาทำให้เขาอยากลองในสิ่งแปลกใหม่ ร่วมกับอีกปัญหาหนึ่งคือการ “ตามเพื่อน” ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด ที่จะสนใจเพื่อน อยากจะลอง อยากจะเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ หรืออยากจะทำอย่างที่เพื่อนทำ จนกระทั่งกลายมาเป็นแฟชั่น ปัจจุบันมีเด็กบางคนหันเข้าไปหายาเสพติด เพียงเพราะรู้สึกว่า ใครๆ เขาก็ทำกัน เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะแปลกอะไร ถ้าถามว่ารู้โทษของยาเสพติดไหม เด็กๆ ก็รู้ แต่เพียงเพราะอยากที่จะตามเพื่อนๆ ไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด กลายไปเป็นเหยื่อของสารเสพติด นอกจากนี้สภาพแวดล้อม ก็มีส่วนเอื้อให้มีปัญหายาเสพติดขึ้น เดิมทียาเสพติดเป็นสิ่งที่จะมีในสถานที่หรือแหล่งที่มีลักษณะจำเพาะในการระบาดของยาเสพติดเท่านั้น แต่ปัจจุบันยาเสพติดได้แพร่ระบาดมาถึงในโรงเรียนแล้ว เด็กๆ สามารถหายาเสพติดได้ในโรงเรียน และแม้แต่รอบรั้วโรงเรียนเองก็กลายเป็นที่ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กของเราไปเสียแล้ว
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ทำให้เด็กบางคนเข้าไปสู่การใช้ยาเสพติด ก็คือปัญหาเรื่องของการต่อต้านผู้ใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องตามวัยของเขาด้วย ด้วยความที่เขาอยากเป็นตัวของเขาเองทำให้เด็กบางทีรู้สึกไม่อยากเชื่อฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด บางทีก็แสดงความก้าวร้าวออกมา ถ้าคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูไม่เข้าใจ ก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงกับเด็ก หรือพยายามเข้าไปควบคุมหรือจัดการกับเขา เด็กก็จะยิ่งต่อต้านมากขึ้น อะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ดี อะไรที่เราห้ามเขา อะไรที่เราบอกว่าอย่าทำ เด็กก็จะยิ่งอยากทำ เหมือนจะประชดผู้ใหญ่ไปทางหนึ่งด้วย แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังอ่อนอยู่ ทำให้ไม่ทราบว่าการประชดด้วยการใช้ยาเสพติดนั้นเป็นสิ่งที่มีอันตรายต่อตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ส่วนปัจจัยต่อไปที่จะทำให้เด็กบางคนที่เมื่อหันเข้าไปลองแล้ว เกิดการติดยาเสพติดค่อนข้างจริงจัง คือปัญหาในเรื่องของภาวะทางอารมณ์ เด็กๆ หลายคนไม่มีความสุข เขารู้สึกเศร้าใจ รู้สึกทุกข์ใจ มีปัญหาต่างๆ รอบตัวโดยเฉพาะเรื่องในครอบครัว ความไม่ลงรอยกันในครอบครัว ความขัดแย้งกันของคุณพ่อคุณแม่ การทะเลาะเบาะแว้งกันที่บางทีถึงขนาดทำร้ายร่างกายกัน ทำให้เด็กรู้สึกไม่มีความสุข ความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจเช่นนี้แหละที่ทำให้เขาจมอยู่กับยาเสพติด บางคนอาจลองด้วยความตั้งใจ เพราะรู้สึกว่าในขณะที่ชีวิตไม่มีความสุขนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ให้ความสุขกับเขาได้ ทำให้เขาลืมความทุกข์ต่างๆ เหล่านี้ไปได้ หากครอบครัวมีความสุข เด็กจะไม่คิดสนใจพึ่งยาเสพติดเช่นนี้
ปัจจุบันยาเสพติดได้เปลี่ยนรูปแบบของการระบาดไปมาก จากเดิมเคยพบเป็นเฮโรอีน ก็กลายเป็นยาบ้า ตัวยานี้ออกฤทธิ์ต่อสมองโดยเข้าไปปรับหรือเปลี่ยนแปลงสารเคมีบางตัว ทำให้มีฤทธิ์ที่ทำให้ผู้เสพรู้สึกคึกคัก มีพลัง หรือเพลิดเพลินค่อนข้างมาก เราจึงได้ยินข่าวบ่อยๆ ว่า วัยรุ่นไปจัดปาร์ตี้กันเพื่อความสนุก แล้วมียาเสพติดเข้ามามีส่วนประกอบ เด็กหลายคนชอบใจติดใจความสนุกสนานที่ได้รับจากฤทธิ์ของยาที่ตัวเองใช้กับเพื่อน ก็มาเล่าให้เพื่อนฟัง ชักจูงกันว่าสนุกสนานดีกว่าที่ไปปาร์ตี้กันเฉยๆ หรือในหลายครั้งก็มีลักษณะของการมอมเมา คือมีการแอบปนยาเสพติดในงานที่จัด หรือเพื่อนบางคนอาจจะไม่รู้แต่พอได้รับผลที่เกิดความสนุกขึ้นมา ก็เกิดความติดใจแล้วอยากจะใช้อีก จึงทำให้เกิดยาแพร่ระบาดไปได้เร็ว

ยาเสพติดมีผลกระทบต่อตัวเด็กในหลายด้าน
ผลกระทบอันแรกที่เราอาจจะสังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือผลการเรียน ยาเสพติดเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อสมอง ฉะนั้นความสามารถในการเรียน ความตั้งใจ สมาธิในการเรียนของเขาจะลดลง ผลการเรียนก็เริ่มตกลง เด็กจะเริ่มมีปัญหาในการฝ่าฝืนกฎระเบียบ เพราะอยากจะใช้ยา บางทีอาจเห็นเด็กอยากโดดเรียน ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาโรงเรียนเลิก เพราะว่าอยากจะไปใช้ยาเสพติด หรืออาจพบมีปัญหาเที่ยวกลางคืนมากขึ้น
ผลกระทบต่อไป คือ ผลกระทบต่อร่างกาย ตัวยาเสพติดเองมีฤทธิ์โดยตรงต่อการทำงานของสมองของเราหรือมีฤทธิ์โดยตรงต่อทางร่างกาย การที่เราไม่หลับไม่นอนเอาแต่สนุกสนานนั้น ร่างกายเราสู้ไม่ไหว ก็จะทรุดโทรมลง เหนื่อย อ่อนเพลีย รู้สึกอยากจะนอนมากขึ้น เด็กอาจจะง่วงเหงาหาวนอนมากขึ้นในชั้นเรียน
ภาวะทางจิตใจเองก็มีผลให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวล เกิดความรู้สึกก้าวร้าวมากขึ้น เพราะเมื่อมีความต้องการใช้ยา เด็กก็จะกระวนกระวาย เวลาใครเข้ามาขัดขวาง เด็กก็จะรู้สึกหงุดหงิด อาจจะทำอะไรลงไปที่รุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญคือในบางรายอาจเกิดอาการทางจิตขึ้นอย่างที่เราเห็นข่าวกัน โดยยาบ้าอาจทำให้เกิดอาการหลอนทางประสาท ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีคนทำร้าย ดังนั้นเขาอาจทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขึ้น เนื่องจากอาการทางจิตของเขา เช่น ใช้มีดจับคนเข้ามาเป็นตัวประกัน หรือกังวลว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง ก็จะแสดงอาการก้าวร้าวต่อคนอื่นได้
ยาบ้ายังทำให้เด็กมีโอกาสทำผิดกฎหมายได้มาก ด้วยความที่อยากได้ยามาใช้ เด็กอาจจะเริ่มลักขโมย ขโมยของ หรือว่าทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น ขู่กรรโชกเพื่อที่จะได้เงินมา นอกจากนี้มีผลกระทบอีกอันหนึ่งซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจทีเดียว คือ เด็กกลายเป็นผู้ขายยาเสพติดเสียเอง เพื่อเอาเงินบางส่วนไปซื้อยามาเสพ ซึ่งตรงนี้เป็นผลกระทบซึ่งรุนแรงทีเดียวสำหรับเด็ก

การป้องกัน

ทำอย่างไรเด็กของเราจึงจะไม่หันมาใช้ยาเสพติดอย่างนี้ ความใกล้ชิดในครอบครัวนี่แหละคือภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดในเรื่องปัญหายาเสพติด ความเอาใจใส่กับลูกไม่ได้เริ่มที่วัยรุ่น จริงๆ แล้ว เราเอาใจใส่รักใคร่กับเขามาโดยตลอด ความผูกพันอย่างนี้ ทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจตระหนักดีว่า การหันเข้าไปหายาเสพติดทำให้ครอบครัวของเขาเกิดปัญหาขึ้น เขาจึงมีแรงยึดเหนี่ยวจากความรักความเอาใจใส่จากครอบครัว ทำให้ไม่หันเข้าไปหายาเสพติด
การพูดคุยกับลูกวัยรุ่นก็เป็นเรื่องจำเป็น แต่ว่าจะพูดอย่างไรจึงจะพอเหมาะ ด้วยความกังวลใจ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตเขามากขึ้น เข้าไปควบคุมเขา เข้าไปกำกับดูแล เข้าไปดูว่าเขาคุยโทรศัพท์กับใคร ในกระเป๋าเขามีอะไรบ้าง เข้าไปค้นในห้องนอนของเขา ลักษณะเช่นนี้ต้องระวังในเด็กวัยรุ่น เขาไม่ชอบให้เราเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตของเขา การใช้วิธีพูดคุยกันในทำนองของการไถ่ถามถึงเรื่องราวทั่วๆ ไป เปิดโอกาสให้เขาปรึกษาหารือ พร้อมที่จะรับฟังเขา จะทำให้ความรู้สึกต่อต้านของเด็กลดลง เมื่อเขาเห็นว่าเราวางใจเขา ก็จะยินดีให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาว่าเวลานี้ เขาคิดอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร คุณพ่อคุณแม่อาจลองถามไถ่ต่อไปว่า มีบ้างไหม เขาบังเอิญเข้าไปใกล้ชิดกับปัญหาเรื่องยาเสพติด เขาคิดว่าเขาจะป้องกันตัวเองอย่างไร ถ้าเราพูดกับลูกอย่างนี้ เราจะได้แนวคิดว่าจริงๆ แล้วลูกเรามีความพร้อมในเรื่องการดูแลตัวเองจากยาเสพติดไหม ถ้าเขามีแนวคิดที่ดีอยู่แล้ว เขาป้องกันตัวเองอยู่แล้ว เราก็ให้เพียงแค่การสนับสนุน ชื่นชมเขา หรืออาจเสนอข้อมูลที่เราได้รับรู้มาใหม่ๆ เพื่อเขาจะได้ระมัดระวังตัวเขาเองมากขึ้น
อีกประการหนึ่ง คือเรื่องการสังเกตพฤติกรรม โดยเมื่อเริ่มมีปัญหาแล้วเรารีบเข้าไปแก้ปัญหาโดยเร็ว ก็ย่อมจะดีกว่าปล่อยให้เขาติดยาเสพติดจนเรื้อรังจนแก้ไขได้ยาก การสังเกตพฤติกรรมช่วงแรกๆ จะพบว่าเด็กเริ่มมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอารมณ์หงุดหงิดและก้าวร้าว เด็กบางคนอาจเก็บตัวมากขึ้น หรือมีพฤติกรรมที่แอบซ่อน เพราะว่าเขาคงไม่อยากเปิดเผยถึงการใช้ยาของเขาให้เราทราบ ถ้าเขามีปัญหาของการแอบซ่อนอย่าใช้วิธีค้นอย่างที่ว่า เพราะยิ่งหาเด็กก็ยิ่งพยายามซ่อน ระยะนี้อาจเพียงแต่เฝ้ามองพฤติกรรมอยู่ห่างๆ ดูซิว่าลูกเริ่มโกหก ลูกเริ่มแสดงพฤติกรรมหลอกลวงหรือเปล่า แล้วก็ดูด้านอื่นร่วมกันด้วย เช่น เรื่องการเรียน คุณพ่อคุณแม่อาจจะประสานกับคุณครูที่ดูแลลูกว่าขณะนี้ลูกมีปัญหาในชั้นเรียนอย่างไรไหม มีผลการเรียนตกลงไหมเพราะอะไร
กลุ่มเพื่อนของลูกก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรายอมรับเพื่อนของลูก เราก็สามารถติดตามได้ว่าเขาไปทำอะไรกันที่ไหนบ้าง แต่ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับเพื่อน ลูกก็จะเริ่มไม่บอกกับเราอย่างตรงไปตรงมา อาจยังแอบคบหาสมาคมกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งข้อนี้จะเป็นอันตรายมากกว่า เพราะเราไม่มีทางทราบว่าเขาไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไรบ้าง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่เปิดใจรับให้เพื่อนของลูกเข้ามาในบ้าน เข้ามาพูดคุยกัน ทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันที่บ้าน ซึ่งดูแล้วอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น เขาอาจจะอยากขอมาเล่นดนตรีด้วยกันที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็ควรอนุญาตหรือยอมให้เขาทำอะไรบางอย่างร่วมกันบ้าง คุณจะได้เห็นลูกกับเพื่อนในสายตาอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยได้มากทีเดียวว่า ขณะนี้เขาไปทำอะไรที่ไหนบ้าง และการที่เราเปิดเผยกับลูก ยอมรับลูกในเรื่องต่างๆ เช่นนี้ จะทำให้ลูกเองก็พร้อมที่จะเปิดเผยกับเราด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาร่วมมือกันอย่างนี้ก็คงช่วยกันไม่ให้ลูกเราหันเข้าไปหายาเสพติดกันได้


อุทกภัย

อุทกภัย คือ ภัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำเป็นสาเหตุ อาจจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่า หรืออื่น ๆ โดยปกติ อุทกภัยเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน บางครั้งทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม อาจมีสาเหตุจากพายุ หมุนเขตร้อนลมมรสุมมีกำลังแรง ร่องความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง อากาศแปรปรวน น้ำทะเลหนุน แผ่นดินไหว เขื่อนพัง ทำให้เกิดอุทกภัยได้เสมอ

ชนิดของอุทกภัย
1. น้ำป่าหลาก เกิดจากฝนตกหนักบนภูเขา หรือต้นน้ำลำธารและไหลบ่าลงที่ราบอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีต้นไม้ ช่วยดูดซับ ชะลอกระแสน้ำ ความเร็วของน้ำ ของท่อนซุง และต้นไม้ ซี่งพัดมาตามกระแสน้ำจะทำลายต้นไม้ อาคาร ถนน สะพาน และชีวิตมนุษย์และสัตว์จนได้รับความเสียหาย.
2. น้ำท่วมขัง น้ำเอ่อนอง เกิดจากน้ำล้นตลิ่ง มีระดับสูงจากปกติท่วมแช่ขัง ทำให้การคมนาคมหยุดชะงัก เกิดโรคระบาดได้ ทำลายพืชผลเกษตรกร
3. คลื่นซัดฝั่ง เกิดจากพายุลมแรงซัดฝั่ง ทำให้น้ำท่วมบริเวณชายฝั่งทะเล บางครั้งมีคลื่นสูงถึง 10 เมตร ซัดเข้าฝั่งซึ่งสามารถทำลายทรัพย์สินและชีวิตได้

การป้องกันและลดความเสียหายจากอุทกภัย
ควรติดตามฟังข่าวอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาสม่ำเสมอ เมื่อใดที่กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนให้อพยพ ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงควรรีบอพยพไปอยู่ในที่สูง อาคารที่มั่นคงแข็งแรง
ถ้าอยู่ที่ราบให้ระมัดระวังน้ำป่าหลาก จากภูเขาที่ราบสูงลงมา กระแสน้ำจะรวดเร็วมาก ควรสังเกตเมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันบนภูเขาหลาย ๆ วัน ให้เตรียมตัวอพยพขนของไว้ที่สูง
ถ้าอยู่ริมน้ำให้เอาเรือหลบเข้าฝั่งไว้ในที่จะใช้งานได้ เมื่อเกิดน้ำท่วม เพื่อการคมนาคม ควรมีการวางแผนอพยพว่าจะไปอยู่ที่ใด พบกันที่ไหน อย่างไร
กระแสน้ำหลากจะทำลายวัสดุก่อสร้าง เส้นทางคมนาคม ต้นไม้ และพืชไร่ ต้องระวังกระแสน้ำพัดพาไป อย่าขับรถยนต์ฝ่าลงไปในกระแสน้ำหลาก แม้บนถนนก็ตาม อย่าลงเล่นน้ำ อาจจะประสพอุบัติภัยอื่น ๆ อีกได้
หลังจากน้ำท่วม จะเกิดโรคระบาดในระบบทางเดินอาหารทั้งคนและสัตว์ ให้ระวังน้ำบริโภค โดยต้มให้เดือดเสียก่อน

ภัยพิบัติครั้งสำคัญในประเทศไทย

2526 - กรุงเทพมหานคร
2531 - ตำบลกะทูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
2538 - กรุงเทพมหานคร
2543 - อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
2544 - ตำบลน้ำก้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีผู้เสียชีวิต 147 คน
2544 - จังหวัดแพร่
2547 - เขตเทศบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก
2548 - 8 จังหวัดภาคใต้
2548 - จังหวัดเชียงใหม่
2549 - 5 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง